
ปัญหาสิว ถือเป็นเรื่องกวนใจของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะสิวอุดตันที่มักจะผุดขึ้นมาบนใบหน้า สร้างความรำคาญใจและความไม่มั่นใจได้ไม่น้อย คำถามยอดฮิตที่ตามมาคือ สิวอุดตันแบบนี้กดสิวออกเองได้ไหม ? การกดสิวอาจช่วยให้สิวดีขึ้นในบางกรณี หรือยิ่งทำให้อาการแย่ลงกันแน่ ? บทความนี้ M Vita Center จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับสิวอุดตันอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ ประเภทของสิวอุดตันที่ควรกด ไปจนถึงแนวทางการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ และวิธีป้องกันเพื่อลดโอกาสการเกิดซ้ำของสิวอุดตัน
สิวอุดตันคืออะไร?
สิวอุดตัน (Comedones) คือสิวประเภทหนึ่งที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ไม่มีการอักเสบ บวมแดง หรือเป็นหนองเหมือนสิวอักเสบ ลักษณะของสิวอุดตันที่เรามักพบเห็นได้บ่อย คือ สิวหัวดำ (Blackheads หรือ Open Comedones) ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดดำ ๆ เล็ก ๆ บนผิว เกิดจากการอุดตันที่ปากรูขุมขนเปิด ทำให้ไขมันและเซลล์ผิวที่อุดตันอยู่สัมผัสกับอากาศและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) กลายเป็นสีดำ
อีกชนิดคือ สิวหัวขาว (Whiteheads หรือ Closed Comedones) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ สีเดียวกับผิวหนังหรือสีขาว เกิดจากการอุดตันที่ปากรูขุมขนปิด ทำให้ไม่สัมผัสอากาศ หัวสิวจึงยังคงเป็นสีขาวขุ่นอยู่ข้างใต้ผิวหนัง สิวอุดตันเหล่านี้มักพบบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะ สิวที่หน้าผาก สิวที่คาง และ สิวที่แก้ม แต่ก็สามารถเกิดบริเวณอื่น ๆ ได้เช่นกัน
สิวอุดตันเกิดจากอะไร

สิวอุดตันไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างที่ทำงานร่วมกัน สามารถทำให้เกิดการอุดตันภายในรูขุมขน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดสิว การทำความเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้เราทราบวิธีการดูแลและป้องกันสิวอุดตันได้ดีขึ้น โดยสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้
- การผลิตน้ำมัน (Sebum) มากเกินไป: ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็น ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยภายใน เช่น ฮอร์โมน พันธุกรรม หรือปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศร้อน
- การสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว: โดยปกติเซลล์ผิวเก่าจะหลุดลอกออกไป แต่เมื่อกระบวนการนี้ผิดปกติ หรือมีเซลล์ผิวที่ตายแล้วมากเกินไป ก็จะไปรวมกับน้ำมันและอุดตันรูขุมขน
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ในช่วงวัยรุ่น ช่วงมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะเครียด สามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
- พันธุกรรม: หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นสิวเยอะ ก็มีแนวโน้มที่คุณจะเป็นสิวได้ง่ายกว่าคนอื่น
- เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Comedogenic) หรือล้างเครื่องสำอางออกไม่หมดจด เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวอุดตัน
- พฤติกรรม: การสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ การเสียดสีจากหน้ากากอนามัย หมวก หรือปลอกหมอนที่ไม่สะอาด ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้
- สิ่งแวดล้อม: มลภาวะ ฝุ่น ควัน และความร้อน ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นการเกิดสิวอุดตันได้
- อาหาร: มีงานวิจัยบางส่วนชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง นมวัว หรือไขมันบางชนิด กับการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้นในบางคน
- แบคทีเรีย P. acnes: แม้สิวอุดตันจะไม่ใช่สิวอักเสบ แต่แบคทีเรียชนิดนี้ก็มีส่วนในการทำให้เกิดการอุดตันได้
สิวอุดตันแบบไหนที่ควรกด และสิวแบบไหนที่ไม่ควรกด

ไม่ใช่สิวทุกประเภทจะเหมาะกับการกด การกดสิวผิดประเภทหรือไม่ถูกวิธีอาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม เช่น การอักเสบ รอยแผลเป็น หรือการติดเชื้อ การพิจารณาว่าสิวอุดตันแบบไหนที่สามารถกดได้นั้น จำเป็นต้องสังเกตลักษณะของสิวอย่างรอบคอบ โดยทั่วไปแล้ว สิวที่อาจพิจารณาให้กดได้ (โดยผู้เชี่ยวชาญ หรือด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง) ได้แก่:
- สิวหัวดำ (Blackheads/Open Comedones): สิวประเภทนี้มีปากรูขุมขนเปิด ทำให้หัวสิวที่เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวสัมผัสกับอากาศและเปลี่ยนเป็นสีดำ การกดสิวหัวดำมีความเสี่ยงต่ำกว่าสิวประเภทอื่น ๆ เนื่องจากมีช่องทางให้หัวสิวออกมาได้
- สิวหัวขาว (Whiteheads/Closed Comedones) ที่สุกเต็มที่: สิวหัวขาวบางเม็ดที่อยู่ตื้น ๆ และเห็นหัวสิวสีขาวขุ่นชัดเจน นูนขึ้นมาพอสมควร อาจสามารถกดออกได้ แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวังและถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้ผนังรูขุมขนแตกและเกิดการอักเสบตามมา
สิวแบบไหนที่ไม่ควรกด
- สิวอักเสบ (Inflammatory Acne): เช่น สิวตุ่มแดง (Papules) สิวหัวหนอง (Pustules) สิวอักเสบที่มีอาการบวม แดง เจ็บ การกดสิวประเภทนี้จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบลุกลาม ทำให้สิวหายช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิว
- สิวหัวช้าง (Nodules/Cysts): สิวอักเสบขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง ไม่มีหัวหนองให้เห็นชัดเจน (อาจเรียกว่า สิวไม่มีหัวเป็นไตในบางกรณี) การพยายามกดสิวประเภทนี้จะเจ็บปวดมาก ไม่สามารถกดหัวสิวออกมาได้ และเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นอย่างยิ่ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การฉีดสิว
- สิวผด (AestivalisAcne): สิวผดมักเป็นตุ่มเล็ก ๆ ไม่มีหัว ขึ้นเป็นกลุ่มบริเวณหน้าผากหรือแก้ม และมักมีอาการคัน เกิดจากความร้อน เหงื่อ หรือการระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว การเกาหรือกดอาจทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หากสิวผดไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยารักษาเฉพาะทาง
- สิวเม็ดข้าวสาร (Milia): แม้จะมีลักษณะเป็นตุ่มขาว ๆ เล็ก ๆ คล้ายสิวหัวขาว แต่สิวเม็ดข้าวสาร คือซีสต์ขนาดเล็ก (Keratin-filled cyst) ที่เกิดจากการสะสมของเคราตินใต้ผิวหนัง การกดออกเองทำได้ยากและอาจทำให้ผิวช้ำหรือเกิดแผล ควรให้ผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ใช้เครื่องมือเฉพาะในการสะกิดออก
สิวอุดตันควรกดไหม?
คำถามที่ว่า “สิวอุดตันควรกดไหม ?” นั้น ไม่มีคำตอบตายตัวว่าควรหรือไม่ควร เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งประเภทของสิว ความชำนาญในการกด และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การกดสิวอุดตัน โดยเฉพาะสิวหัวดำ อาจช่วยให้หัวสิวหลุดออกมาได้รวดเร็ว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และลดโอกาสที่สิวอุดตันนั้น ๆ จะพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การกดสิวด้วยตัวเองอย่างไม่ถูกวิธีหรือไม่ถูกสุขลักษณะ มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดผลเสียตามมาได้ เช่น ผิวหนังช้ำ อักเสบ ติดเชื้อ รูขุมขนกว้างขึ้น หรือเกิดรอยดำ รอยแดง และแผลเป็นหลุมสิวที่รักษายากกว่าเดิม การใช้แรงกดที่ไม่เหมาะสม หรือการพยายามกดสิวที่ยังไม่สุกดี อาจทำให้ผนังรูขุมขนแตก และสิ่งอุดตันกระจายตัวอยู่ใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงกว่าเดิม
ดังนั้น หากไม่มั่นใจในวิธีการกดสิวหรือไม่สามารถประเมินลักษณะสิวได้อย่างถูกต้อง การปล่อยให้สิวอุดตันจัดการตัวเองด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว หรือการไปกดสิวกับผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญในคลินิกที่มีมาตรฐาน ก็เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญจะใช้อุปกรณ์ที่สะอาด ปลอดเชื้อ และมีเทคนิคที่ถูกต้อง ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้มาก
เทคนิครักษาสิวอุดตันด้วยการกดสิวที่ถูกต้อง ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น

หากคุณตัดสินใจที่จะลองกดสิวอุดตันด้วยตัวเอง (ซึ่งแนะนำเฉพาะสิวหัวดำ หรือสิวหัวขาวที่สุกและอยู่ตื้น ๆ เท่านั้น) การทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องและถูกสุขลักษณะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อลดความเสี่ยงของการอักเสบและรอยแผลเป็น การกดสิวที่ดีต้องอาศัยความเข้าใจในเทคนิคและความสะอาดเป็นหลัก
เช็กลักษณะของสิวอุดตัน
ก่อนลงมือ ควรมั่นใจว่าสิวเม็ดนั้นเป็นสิวอุดตันที่พร้อมจะกดออกได้จริง ๆ สิวหัวดำมักจะกดออกได้ง่ายกว่า ส่วนสิวหัวขาว ควรเป็นเม็ดที่นูนขึ้นมาชัดเจน เห็นหัวขาว ๆ ค่อนข้างชัด และไม่รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส หากเป็นตุ่มแดง บวม หรือกดแล้วเจ็บ แสดงว่าเป็นสิวที่เริ่มอักเสบแล้ว ไม่ควรกดเด็ดขาด ส่วนตุ่มขาวเล็ก ๆ แข็ง ๆ ที่กดไม่ออก อาจเป็นสิวเม็ดข้าวสารซึ่งไม่ควรกดเอง
เตรียมผิวหน้าก่อนกดสิว
การเตรียมผิวอย่างเหมาะสมจะช่วยให้การกดสิวง่ายขึ้นและลดการบาดเจ็บของผิว เริ่มต้นด้วยการล้างหน้าให้สะอาดหมดจดด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยน เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกิน จากนั้น ควรทำการเปิดรูขุมขน อาจใช้วิธีประคบด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น (ไม่ร้อนจัด) วางบนใบหน้าบริเวณที่จะกดสิวประมาณ 5-10 นาที หรืออาจกดสิวหลังอาบน้ำอุ่นเสร็จใหม่ ๆ ไอน้ำและความร้อนจะช่วยให้รูขุมขนขยายตัว ทำให้กดสิวได้ง่ายขึ้น
เลือกอุปกรณ์ในการกดสิว
ความสะอาดของอุปกรณ์เป็นหัวใจสำคัญที่สุด ควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ และเช็ดให้แห้ง หากใช้อุปกรณ์กดสิว (Comedone Extractor) ต้องมั่นใจว่าผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์แล้วทุกครั้งก่อนและหลังใช้งาน หากใช้นิ้วมือ ควรสวมถุงมือ หรือใช้ทิชชูสะอาด หรือสำลีพันรอบปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าโดยตรง และช่วยควบคุมแรงกดได้ดีขึ้น ห้ามใช้เล็บจิกหรือกดสิวโดยตรงเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผิวช้ำและเกิดรอยแผลได้ง่าย
ใช้น้ำเกลือทำความสะอาดแผล
หลังจากกดสิวเสร็จแล้ว (กดเบา ๆ หากหัวสิวไม่ออกโดยง่าย ควรหยุด ไม่ฝืนกดต่อ) ให้ใช้สำลีชุบน้ำเกลือปราศจากเชื้อ (Normal Saline Solution) เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่กดสิวเบา ๆ น้ำเกลือจะช่วยทำความสะอาดแผล ลดโอกาสการติดเชื้อ และช่วยให้แผลสมานตัวได้ดี หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผลโดยตรง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและแห้งเกินไป
วิธีดูแลตัวเองหลังกดสิว
การดูแลผิวหลังการกดสิวเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัว ลดการอักเสบ และป้องกันปัญหารอยสิวตามมา การดูแลอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผลลัพธ์จากการกดสิวดีขึ้นและลดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
- ทำความสะอาด: ล้างหน้าเบา ๆ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
- ประคบเย็น: หากมีอาการบวมแดงเล็กน้อย สามารถใช้ผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งประคบเบา ๆ บริเวณที่กดสิว เพื่อช่วยลดอาการบวมและแดง
- ทายาฆ่าเชื้อ (ถ้าจำเป็น): อาจทายาปฏิชีวนะเฉพาะที่ชนิดครีมหรือเจลบาง ๆ บริเวณที่กดสิว เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส: พยายามไม่จับ แกะ หรือเกาบริเวณที่เพิ่งกดสิว เพื่อลดการระคายเคืองและป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ผิวหนัง
- งดแต่งหน้า: หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าทับบริเวณที่กดสิวอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือจนกว่ารอยแดงจะหายไป เพื่อให้ผิวได้พักและลดการอุดตันซ้ำ
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) เสมอเมื่อต้องออกแดด เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (Post-inflammatory Hyperpigmentation)
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน: เลือกใช้สกินแคร์ที่เน้นปลอบประโลม ให้ความชุ่มชื้น และไม่มีส่วนผสมที่ระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือกรดผลัดเซลล์ผิวเข้มข้น ในช่วง 1-2 วันแรกหลังกดสิว
- สังเกตอาการ: หากบริเวณที่กดสิวมีอาการบวม แดง ร้อน หรือมีหนองมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
ข้อดีของการกดสิว

แม้ว่าการกดสิวจะมีความเสี่ยงหากทำไม่ถูกวิธี แต่การกดสิวอุดตันอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะโดยผู้เชี่ยวชาญ ก็มีข้อดีอยู่หลายประการเช่นกัน การพิจารณาข้อดีเหล่านี้อาจช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าการกดสิวเป็นทางเลือกที่เหมาะสมหรือไม่
- กำจัดสิวอุดตันได้รวดเร็ว: เป็นวิธีกำจัดหัวสิวที่อุดตันอยู่ออกไปจากรูขุมขนได้ทันที ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบ: การนำสิ่งอุดตันออกไป ช่วยลดความเสี่ยงที่สิวอุดตันเม็ดนั้น ๆ จะพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบที่รุนแรงกว่าเดิมได้
- ช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมได้ดีขึ้น: เมื่อไม่มีสิ่งอุดตันขวางทาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือยารักษาสิวอื่น ๆ อาจสามารถซึมซาบลงสู่ผิวได้ดีขึ้น
- เห็นผลทันที: หลังจากการกดสิว หัวสิวจะหายไปทันทีในบางกรณี (แม้จะมีรอยแดงชั่วคราว) ซึ่งต่างจากการรักษาด้วยวิธีอื่นที่อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผล
ข้อเสียของการกดสิว

ในทางกลับกัน การกดสิวก็มีข้อเสียและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำด้วยตนเองอย่างไม่ถูกวิธีหรือไม่สะอาดเพียงพอ การทราบถึงข้อเสียเหล่านี้จะช่วยให้ประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
- เสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อ: หากอุปกรณ์ไม่สะอาด มือไม่สะอาด หรือกดสิวผิดวิธี อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ หรือเกิดการติดเชื้อรุนแรงขึ้นได้
- อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น: การใช้แรงกดมากเกินไป การใช้เล็บจิก หรือการพยายามกดสิวที่ยังไม่สุก อาจทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังเสียหาย เกิดเป็นรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวถาวรได้
- ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น: การกดสิวบ่อย ๆ หรือกดแรงเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของรูขุมขน ทำให้รูขุมขนดูกว้างขึ้นได้ในระยะยาว
- อาจทำให้สิวแย่ลง: การกดสิวผิดประเภท เช่น สิวอักเสบ หรือการกดที่ไม่สามารถนำหัวสิวออกมาได้หมด อาจทำให้ผนังรูขุมขนแตกใต้ผิวหนัง กระจายสิ่งอุดตันและเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงและกว้างขึ้น
วิธีป้องกันการเกิดสิวอุดตัน
วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับสิวอุดตัน คือ การป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นตั้งแต่แรก หรือลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ให้น้อยลง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลผิวอย่างถูกวิธีเป็นหัวใจสำคัญในการมีผิวที่ใสไร้สิวอุดตัน
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
มือของเราสัมผัสสิ่งต่าง ๆ มากมายตลอดวัน ทำให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและสิ่งสกปรก การนำมือมาสัมผัส ลูบ หรือเท้าคางบ่อย ๆ เป็นการนำพาสิ่งสกปรกและน้ำมันจากมือไปสู่ใบหน้า ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการอุดตันและสิวได้ พยายามลดการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น หากต้องการสัมผัสควรล้างมือให้สะอาดก่อนเสมอ
หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการอุดตัน
เลือกใช้เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และครีมกันแดดที่มีฉลากระบุว่า “Non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หรือ “Oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีโอกาสน้อยกว่าที่จะเข้าไปสะสมและอุดตันในรูขุมขน นอกจากนี้ การล้างเครื่องสำอางให้หมดจดทุกครั้งก่อนนอนก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ควรใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอาง (Makeup Remover) โดยเฉพาะ แล้วตามด้วยการล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยน
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน
แม้ความเชื่อมโยงระหว่างอาหารกับสิวจะยังเป็นที่ถกเถียงและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High Glycemic Index) เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม หรืออาหารแปรรูป อาจกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินซูลินมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมการผลิตน้ำมันและนำไปสู่การเกิดสิวได้ ลองสังเกตตัวเองว่าการลดอาหารหวานมีผลต่อสิวหรือไม่ อาจช่วยลดการเกิดสิวที่แก้ม หรือสิวขึ้นกรอบหน้า ซึ่งบางครั้งสัมพันธ์กับฮอร์โมนได้
ทำความสะอาดและดูแลผิวอย่างถูกต้อง
การทำความสะอาดผิวหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) และหลังออกกำลังกายหรือมีเหงื่อออกมาก ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสิวอุดตัน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน เหมาะกับสภาพผิว และไม่ทำให้ผิวแห้งตึงจนเกินไป การขัดหรือสครับผิวหน้าแรง ๆ อาจกระตุ้นให้ผิวระคายเคืองและผลิตน้ำมันมากขึ้น
ควรผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid – BHA) หรือกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid – AHA) ซึ่งช่วยลดการอุดตันในรูขุมขนและขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว การดูแลความสะอาดบริเวณอื่น ๆ เช่น การสระผมเป็นประจำเพื่อไม่ให้ความมันจากเส้นผมมารบกวนผิวหน้า หรือการทำความสะอาดผิวบริเวณที่เป็นสิวที่คอ หรือสิวที่หลัง หากมีปัญหา ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
แนะนำโปรแกรมรักษาสิวอุดตันที่ M Vita Clinic
สำหรับคนไข้ที่มีปัญหาสิวอุดตัน สิวผด หรือมีปัญหาสิวประเภทอื่น ๆ แบบเรื้อรัง พยายามดูแลตัวเองแค่ไหน ผิวหน้าก็ยังไม่หายดี การเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาสิวกับทาง M Vita Clinic จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่หมอแนะนำครับ
เพราะท่านจะได้รับการวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุ และแนวทางการรักษาได้ตอบโจทย์ปัญหาผิวหน้าที่สุด ซึ่งจะช่วยให้สิวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทิ้งรอยสิวไว้บนใบหน้า และสำหรับใครที่มีปัญหาสิวขึ้นเยอะผิดปกติ หมอขอแนะนำ 2 โปรแกรมนี้เลยครับ ช่วยลดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- โปรแกรม Medi-Aclear : เป็นโปรแกรมการรักษาแบบล้ำลึกถึง 8 ขั้นตอน ผ่านการประเมินโดยแพทย์ ด้วยการทำทรีตเมนต์รักษาสิว ไปจนถึงการฉีดเลเซอร์รักษารอยสิว พร้อมกับรับยารักษาตามที่แพทย์แนะนำร่วมด้วย ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถช่วยลดสิวและรอยสิวให้ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

- โปรแกรม Ultima-Clear : เป็นโปรแกรมการรักษาด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ Long Pulse Diode 1450nm ที่จะส่งพลังงานลงสู่ต่อมไขมัน เพื่อช่วยลดความมันบนผิวหน้า และช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ โดยจะออกฤทธิ์ออกฤทธิ์ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและการเกิดสิว เพื่อแทนการทานยารักษาสิว แต่คนไข้ไม่จำเป็นต้องทานยาร่วมด้วยแต่อย่างใด











สรุปบทความ
สิวอุดตันเป็นปัญหาสิวที่เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวในรูขุมขน คำถามที่ว่าสิวอุดตันกดสิวได้ไหม คำตอบคือ “สามารถทำได้ แต่ต้องทำอย่างระมัดระวังและถูกวิธี” โดยเฉพาะสิวหัวดำและสิวหัวขาวที่สุกแล้ว การกดสิวอย่างถูกต้องช่วยกำจัดสิวได้เร็วและช่วยลดโอกาสการอักเสบ แต่หากกดผิดวิธีอาจนำไปสู่การอักเสบ ติดเชื้อ และเกิดรอยแผลเป็นได้
ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันการเกิดสิวอุดตันตั้งแต่ต้น ด้วยการดูแลความสะอาด หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน และอาจพิจารณาเรื่องอาหารการกิน หากจำเป็นต้องกดสิว การปรึกษาและรับบริการจากผู้เชี่ยวชาญตามคลินิกที่น่าเชื่อถือ จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าการกดสิวโดยไม่ถูกวิธี สำหรับคนไข้ที่สนใจเข้ารับบริการ สามารถติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลหรือจองคิวเข้ารับบริการได้ที่
- LINE: https://page.line.me/mvitaclinic?openQrModal=true
- FaceBook: https://www.facebook.com/mvitacliniccenter
- Tel: 081-492-2626, 02-640-8097
- Google Maps: https://maps.app.goo.gl/ZMEgATLszMJsHpNC8
ติดต่อ จองคิว ปรึกษาแพทย์
ข้อมูลของ เอ็มวีต้า คลินิก (Mvita Clinic)
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่