
สิว เป็นปัญหากวนใจที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะพบบ่อยในบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลำคอ หน้าอก ไหล่ และหลัง ดังนั้น การเป็นสิวที่หลังจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าคนไข้ที่เจอปัญหาเป็นสิวที่หลังอยู่ ก็คงจะตั้งคำถามว่า ทั้ง ๆ ที่รักษาความสะอาดเป็นอย่างดี อาบน้ำ และทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ แต่ก็ยังมีสิวที่หลังอยู่ดี ดังนั้น เพื่อไขข้อสงสัยว่า สิวที่หลังเกิดจากอะไร ในบทความนี้หมอจึงจะพาคนไข้มาทำความรู้จักสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง พร้อมแนะนำวิธีรักษาฉบับหมอรักษาสิว เพื่อคืนผิวเนียนใส และความมั่นใจกลับมา
2 สิวที่หลังคืออะไร?

สิวที่หลัง (Back Acne หรือ Bacne) คือสิวที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณหลังโดยเฉพาะช่วงไหล่ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ การเสียดสี การอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งสิวที่หลังสามารถพบได้หลายชนิด และมีวิธีรักษาที่แตกต่างกันไป
สิวที่หลังเกิดจากอะไร?
สิวที่หลังเกิดจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนทำให้น้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว บวกกับเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium Acnes หรือ Cutibacterium Acnes มีการอุดตันบริเวณรูขุมขนจนทำให้เกิดสิวในที่สุด ซึ่งสิ่งสกปรกหรือคราบเหงื่อที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน นอกจากนี้สิวที่หลังยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้อีกด้วย ดังนี้
ฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง เช่น ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์, ผู้ที่กำลังมีประจำเดือน, ผู้ที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ปริมาณฮอร์โมนที่ไม่สมดุลในร่างกาย ยังเป็นส่วนกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนเกิดการอุดตันและเกิดสิวขึ้นในที่สุด
พันธุกรรม
หากในครอบครัวมีสมาชิกที่เคยมีประวัติเป็นสิวที่หลัง คนไข้ก็มีโอกาสที่จะเป็นสิวที่หลังได้มากกว่าคนทั่วไป
เหงื่อและสิ่งสกปรก
เหงื่อและสิ่งสกปรก เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิวที่หลังได้ ยิ่งถ้าเหงื่อออกมาก ๆ และไม่ได้มีการทำความสะอาดร่างกายในทันที สิ่งสกปรกและแบคทีเรียต่าง ๆ ก็จะยิ่งเกิดการหมักหมม และเข้าไปอุดตันในรูขุมขนจนเกิดการอักเสบ และเป็นสิวที่หลังในที่สุด
ชุดนอนและเครื่องนอนที่ไม่สะอาด
เชื่อว่าหลาย ๆ คนมีพฤติกรรมไม่ชอบเปลี่ยนชุดนอน แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อเรานอนหลับ แผ่นหลังของเราที่สัมผัสกับชุดนอนอยู่ตลอดเวลา อาจจะมีคราบเหงื่อหรือความอับชื้นสะสมอยู่ แน่นอนว่าเมื่อเราไม่ได้เปลี่ยนชุดนอนเป็นประจำ สิ่งสกปรกเหล่านั้นก็จะสะสมไปเรื่อย ๆ และกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวได้
นอกจากนี้เครื่องนอนก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนไม่ได้เปลี่ยนใหม่และทำความสะอาดเป็นประจำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนไข้ควรจะเปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพราะหากใช้งานและปล่อยทิ้งไว้ เครื่องนอนของเราก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมชั้นดีของสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรีย
รับประทานอาหารไขมันสูง
การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง รวมถึงอาหารที่มีน้ำตาลสูงเป็นประจำ จะไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ยีสต์เติบโตกลายเป็นของเสียในร่างกายจนเกิดสิวที่หลังได้อีกด้วย
สิวที่หลังมีกี่ชนิด
การสังเกตชนิดของสิวที่หลัง จะช่วยให้คนไข้สามารถเลือกวิธีรักษาได้อย่างเหมาะสม
โดยสิวที่หลังสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 6 ชนิด ดังนี้
- ฺสิวหัวดำ (Open Comedones) : สิวชนิดนี้สิวไม่อักเสบ ซึ่งมีลักษณะเป็นตุ่มสีดำบนรูขุมขน เกิดจากการสะสมของไขมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว บริเวณรูขุมขนเปิด มักพบในบริเวณใบหน้า หน้าอก และหลัง
- สิวหัวขาว (Closed Comedones) : สิวชนิดนี้เป็นสิวไม่อักเสบ ลักษณะคือเป็นตุ่มนูนสีขาว คล้ายผื่น แต่ขนาดใหญ่กว่า เกิดจากการสะสมของไขมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว บริเวณรูขุมขนปิด มักพบในบริเวณใบหน้า หน้าอก และหลัง
- สิวตุ่มนูนแดง (Papules) : สิวชนิดนี้เป็นสิวอักเสบ ลักษณะจะเป็นตุ่มนูนแดง ไม่มีหัว มักเกิดจากการอักเสบของรูขุมขน มักพบในบริเวณใบหน้า หน้าอก และหลัง
- สิวหัวหนอง (Pustules) : สิวชนิดนี้เป็นสิวอักเสบ ลักษณะคล้ายสิวตุ่มนูนแดงมาก แตกต่างคือมีหัวหนองสีเหลือง มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณรูขุมขน และพบได้ง่ายในบริเวณใบหน้า หน้าอก และหลัง
- สิวอักเสบขนาดใหญ่ (Nodules) : สิวชนิดนี้เป็นสิวอักเสบรุนแรง ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนนูนแดง ขนาดใหญ่ อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของรูขุมขน มักพบในบริเวณใบหน้า หน้าอก และหลัง
- สิวหัวช้าง (Cystic Acne) : สิวอักเสบรุนแรงที่สุด ลักษณะมักเป็นก้อนนูนแดง ขนาดใหญ่ อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง มักมีอาการปวด เจ็บ บวมแดง ซึ่งเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของรูขุมขนและมักพบในบริเวณใบหน้า หน้าอก และหลัง
อาการของสิวที่หลัง
สิวที่หลังมักจะเกิดขึ้นบริเวณหัวไหล่ หลัง และบริเวณลำตัว โดยอาจจะขึ้นเป็นกระจุกบริเวณใดบริเวณหนึ่ง และมักจะมีอาการเจ็บ ปวดบริเวณที่เป็นสิว ซึ่งสิวที่ขึ้นบริเวณหลังสามารถเกิดขึ้นได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นสิวหนอง สิวหัวดำ สิวไต สิวหัวช้าง
วิธีรักษาสิวที่หลังให้ผิวกลับมาเรียบเนียน ที่หมอรักษาสิวแนะนำ
ได้ทราบกันไปแล้วว่า สิวที่หลังเกิดจากสาเหตุอะไร เชื่อว่าสิ่งต่อไปที่คนไข้ส่วนใหญ่อยากทราบไม่แพ้กันก็คือ วิธีรักษาสิวที่หลังให้ผิวกลับมาเรียบเนียน กระจ่างใสได้อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นวิธีที่หมอรักษาสิวแนะนำ ดังนี้
1. รักษาสิวที่หลังด้วยการใช้ยาทา
วิธีรักษาสิวที่หลังด้วยการใช้ยาทา จะเหมาะกับคนไข้ที่มีอาการสิวรุนแรงเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง โดยยาสำหรับรักษามีดังนี้
- Benzoyl Peroxide หรือ Benzac เป็นยาที่ช่วยลดแบคทีเรียบนผิวหนังได้เหมือนกับยาปฏิชีวนะ สามารถหาซื้อได้ง่ายและไม่ค่อยพบผู้แพ้ยาชนิดนี้มากนัก แต่สำหรับคนไข้ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจจะทดลองใช้เป็นระยะสั้น ๆ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวแห้ง ผิวแตก เป็นต้น
- Retinoid เป็นยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอที่ช่วยลดการอุดตันและยับยั้งการอักเสบ สามารถใช้รักษาได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ แต่มีผลข้างเคียงคือ ทำให้ผิวแห้ง ผิวบาง เกิดการระคายเคืองได้ง่าย และไวต่อแสงแดด
- Salicylic Acid เป็นกรดธรรมชาติที่ช่วยลดการอุดตัน และสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้เซลล์ผิวเกาะตัวกันน้อยลง ซึ่งจะช่วยลดการเกิดสิวได้ แต่อาจจะไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนเท่าการใช้ Benzoyl Peroxide และ Retinoid
2. การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ เป็นวิธีที่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนและรวดเร็วที่สุด ซึ่งต้องบอกว่ามีหลากหลายวิธี และสามารถนำวิธีเหล่านี้มาใช้ควบคู่กันเพื่อผลการรักษาที่ดีขึ้นได้
- การกดสิว เป็นการกดให้หัวสิวหลุดออกมา แต่หากทำไม่ถูกวิธีก็อาจจะทิ้งรอยสิวเอาไว้ได้ ดังนั้นหากต้องการรักษาสิวที่หลังด้วยการกดสิว ควรจะทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด เพราะหากทำด้วยตัวเองแล้วกดสิวไม่ถูกต้องหรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด ก็อาจจะทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงมากขึ้นได้
- การฉีดยารักษาสิว เหมาะกับสิวอุดตันขนาดใหญ่ สิวหัวช้าง และสิวยีสต์ โดยจะเป็นการฉีดยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีความเข้มข้นเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นสิวอักเสบ เพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว ทำให้สิวยุบได้เร็วกว่า แต่ก็นับว่าเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงอยู่บ้าง เพราะคนไข้อาจมีอาการแพ้ยา การอักเสบ หรือมีรอยบุ๋มและรอยแผลหลงเหลืออยู่
- การเลเซอร์สิว เป็นการใช้แสงเลเซอร์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงช่วยกำจัดไขมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อปรับสภาพผิวให้ดูกระจ่างใสมากขึ้น ซึ่งชนิดของเลเซอร์ที่ใช้จะแตกต่างกันไปตามชนิดของสิว สภาพผิว และความเหมาะสมของคนไข้แต่ละคน โดยเครื่องเลเซอร์สิวที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่ เครื่อง Dual Yellow Laser, เครื่อง Picosecond Laser, เครื่อง IPL และเครื่อง Q-Switch
- การฉายแสงรักษาสิว เป็นนวัตกรรมการใช้แสงสีน้ำเงินและสีแดงในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว นอกจากนี้ช่วยลดอาการอักเสบ บวมแดงที่เกิดจากการกดสิวได้อีกด้วย โดยแสงสีน้ำเงินจะมีคุณสมบัติในการรักษาและฆ่าเชื้อสิว รวมถึงลดความมัน ส่วนแสงสีแดงจะมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยลดการอักเสบและทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงมากขึ้น
3. การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ
การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ นับว่าเป็นวิธีที่ประหยัดและสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น
- เกลือขัดผิว โดยนำมาสครับบริเวณแผ่นหลังเป็นประจำ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อทำความสะอาดรูขุมขน และผลัดเซลล์ผิว แต่ไม่ควรจะสครับผิวบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้
- ว่านหางจระเข้ ให้นำเนื้อวุ้นมาทาบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดการอักเสบ และรอยแดงจากสิวได้
- ใยบวบขัดผิว เป็นวิธีที่ควรทำเมื่อสิวที่หลังแห้งไปแล้ว โดยให้ใช้ร่วมกับสบู่รักษาสิว นำมาถูบริเวณแผ่นหลังเบา ๆ ซึ่งจะช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดรอยสิวได้
วิธีป้องกันไม่ให้สิวที่หลังเกิดซ้ำ

สำหรับคนไข้ที่อยากได้วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวบริเวณหลังซ้ำ หรือมีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม สามารถทำตามวิธีที่หมอแนะนำได้เลย ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด เช่น Steroids, Hormonal Pills, Anticonvulsants, Lithium เป็นต้น เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง และเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้
- งดการบีบ แกะ จับสิว เพราะสิ่งสกปรกที่ติดอยู่กับมือของเรา จะไปกระตุ้นให้สิวเกิดการอักเสบได้
- สวมเสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป เพื่อให้อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวก และลดการเสียดสีระหว่างแผ่นหลังกับเนื้อผ้า
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน นอกจากนี้ยังควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคือง
- ทำความสะอาดเครื่องนอนเป็นประจำ โดยควรจะเปลี่ยนปลอกหมอนและซักเครื่องนอนอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
- หลีกเลี่ยงการสะพายกระเป๋าเป้ หรือสวมอุปกรณ์ป้องกันกีฬาหนา ๆ บริเวณแผ่นหลัง เพื่อลดการเสียดสีบริเวณผิวหนังและลดการสะสมของเหงื่อและเชื้อแบคทีเรีย
- หมั่นสระผมให้สะอาดเป็นประจำ ไม่ปล่อยให้ผมปรกหลัง เพราะน้ำมันและสิ่งสกปรกจากเส้นผมอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น ขนมปังขาว มันฝรั่ง อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง เป็นต้น
โปรแกรมรักษาสิวที่หลัง
ราคา รักษาสิวที่หลัง คอร์ส Medi-Aclear
- รายครั้ง : 3,500 บาท
- คอร์ส 5 ครั้ง : 10,500 บาท
- คอร์ส 10 ครั้ง : 17,000 บาท
FAQs
1. สิวที่หลังหายเองได้ไหม
สิวที่ขึ้นบริเวณหลัง สามารถหายเองได้จากการดูแลความสะอาดและรักษาด้วยตัวเองในเบื้องต้น โดยการใช้ยาทาบริเวณสิวเป็นประจำ แต่หากการรักษาด้วยตัวเองยังไม่ได้ผล แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง หรือแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการรักษาปัญหาสิวโดยเฉพาะ เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษา รวมถึงจ่ายยาที่เหมาะสม
2. สิวที่หลังควรกดไหม
หากคนไข้มีสิวที่ขึ้นมาบริเวณหลัง สามารถกดได้ แต่ควรจะศึกษาการกดสิวที่ถูกต้องและปลอดภัย นอกจากนี้ยังไม่แนะนำให้ทำด้วยตัวเอง เนื่องจากเป็นบริเวณที่กดยาก และสามารถทำให้เกิดการอักเสบได้อีกด้วย ดังนั้น ทางที่ดี หากต้องการกดสิวที่หลังแนะนำให้ทำโดยแพทย์รักษาสิวโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันการอักเสบ และติดเชื้อ
3. เป็นสิวที่หลังทาโลชั่นได้ไหม
โลชั่น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวบริเวณหลังได้ เพราะหากคนไข้ทาโลชั่นที่หลังแต่ล้างออกไม่หมด จนเกิดการหมักหมมไปเรื่อย ๆ ก็จะทำให้ยิ่งเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือ น้ำมันบำรุงผิว หรือออยล์ เนื่องจากออยล์จะไปเพิ่มน้ำมันบนผิว ทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
4. ไม่อาบน้ำทำให้เป็นสิวไหม
นอกจากการไม่อาบน้ำจะทำให้เรามีสุขอนามัยที่ไม่ดีแล้ว ยังเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวอีกด้วย เพราะการที่เราไม่ได้อาบน้ำ ชำระล้างสิ่งสกปรกออกเป็นประจำ จะทำให้เชื้อโรค แบคทีเรีย สิ่งสกปรก ไขมันจากผิวหนัง และเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วสะสมอยู่บนผิว จนเกิดการอุดตัน และทำให้เกิดสิวบริเวณหลัง และหน้าอกได้
5. รอยสิวที่หลัง กี่วันหาย
รอยดำ และรอยสิวบริเวณหลัง สามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งระยะเวลาก็จะขึ้นอยู่กับความเสียหายของผิวหนังและการฟื้นฟูสภาพผิวหนัง สำหรับรอยสิวที่ไม่ลึกมากก็อาจจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ไปจนถึงเป็นเดือน และหากมีรอยสิวรุนแรงหรือผิวหนังเสียหายค่อนข้างมากก็อาจจะใช้เวลาเป็นปี ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์รักษาสิวเพื่อทำการวินิจฉัยและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม
6. สิวที่หลังแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์
ควรไปพบแพทย์เมื่อเป็นสิวที่หลังแบบเรื้อรัง รักษาไม่หาย หรือกลับมาเป็นซ้ำเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังรวมถึงเมื่อสิวมีการอักเสบ กดเจ็บ และมีไข้ร่วมด้วย เพราะอาจเป็นสัญญาณของอาการติดเชื้อ
เป็นสิวที่หลัง ขาดความมั่นใจ จบได้ที่ M VITA CLINIC
แม้ว่าปัญหาสิวที่หลังจะไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ กับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา แต่ก็เป็นปัญหาที่ทำให้หลาย ๆ คนขาดความมั่นใจในการแต่งตัวได้มากพอสมควร ดังนั้น เพื่อให้คนไข้กลับมามีความมั่นใจและกล้าแต่งตัวอีกครั้ง หมอแนะนำว่า ควรจะรีบแก้ไขปัญหาสิวบริเวณหลังในทันที โดยคนไข้สามารถเข้ามาให้แพทย์วินิจฉัยและประเมินวิธีรักษาที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของสิวที่ M VITA CLINIC ได้เลย!
เพราะในทุก ๆ เคสให้บริการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์มากกว่า 16 ปี โดย นพ.มนตรี อุดมประเสริฐกุล หรือ หมอเอ็ม คลินิกเอ็มวีต้า อีกทั้งยังการันตีผลลัพธ์การรักษามาแล้วกว่า 10,000+ เคส ทำให้คนไข้สามารถมั่นใจในผลลัพธ์และความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลหรือจองคิวเข้ารับบริการได้ที่

ติดต่อ จองคิว ปรึกษาแพทย์
ข้อมูลของ เอ็มวีต้า คลินิก (Mvita Clinic)
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- เอ็มวีต้า คลินิก (คลิก) ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่