
สิว ไม่ได้เป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นบริเวณใบหน้าเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นบริเวณแผ่นหลัง หน้าอก และลำคอได้อีกด้วย ซึ่งสิวที่คอก็นับว่าเป็นอีกบริเวณที่สามารถมองเห็นได้ง่ายไม่แพ้ใบหน้า อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่เกิดความอับชื้นและการสะสมของแบคทีเรียได้ง่าย ทำให้สิวที่คอเกิดการอักเสบและลุกลามได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น ซึ่งในบทความนี้ หมอจะพาคนไข้ที่มีปัญหาสิวที่คอมาทำความรู้จักว่า สิวที่คอเกิดจากอะไร พร้อมแนะนำวิธีรักษาและดูแลตัวเองไม่ให้เป็นสิวที่คอ รวมถึงมาไขข้อสงสัยไปด้วยกันว่า สิวที่คอบอกโรคได้จริงไหม? แล้วบอกโรคอะไรได้บ้าง? คนไข้ที่กำลังเจอปัญหาสิวที่คออยู่แนะนำว่าควรอ่านให้จบ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูกันเลยดีกว่าว่า สิวที่คอเกิดจากอะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง
สิวที่คอ คืออะไร?
สิวที่คอ เป็นสิวที่มีลักษณะตุ่มนูนปรากฏขึ้นบริเวณลำคอ ท้ายทอย รวมถึงบริเวณกรอบหน้า และกราม สามารถพบได้ทั้งสิวผด สิวอักเสบ และสิวอุดตัน โดยสิวที่คอมักจะเกิดจากน้ำมัน เชื้อแบคทีเรีย เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกที่เข้าไปอุดตันในรูขุมขน บวกกับอากาศที่อับชื้น ทำให้ผิวเกิดการอักเสบและเกิดเป็นสิวที่คอ
สิวที่คอเกิดจากอะไร?

สิวที่คอ เกิดจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป และทำให้รูขุมขนอุดตัน นอกจากนี้ยังรวมถึงการอุดตันของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ไขมัน และเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้สิวที่คอยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีกมากมาย เช่น
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน ไม่ว่าจะเป็น แชมพู ครีมนวด และโลชั่นบำรุงผิว
- การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายและเส้นผมที่มีส่วนผสมทำให้เกิดการระคายเคือง
- ฮอร์โมนที่แปรปรวน ในช่วงก่อนมีประจำเดือนและผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
- การไม่อาบน้ำทำความสะอาดผิวในทันทีหลังจากออกกำลังกายเสร็จ
- การใส่เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือชุดกีฬาที่ทำให้เกิดการระคายเคืองจากการเสียดสี
- การทานยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น
- การรบกวนผิวที่มากเกินไป เช่น การขัดผิว การบีบสิว การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี การเลเซอร์ เป็นต้น
- สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามากเกินไป จนเกิดการหมักหมมของสิ่งสกปรก
สิวที่คอมีกี่ประเภท?

เนื่องจากบริเวณคอ หลังคอ และท้ายทอยของเรา มีต่อมไขมันอยู่ทำให้สามารถเกิดการอุดตัน และสามารถเกิดสิวได้ทุกประเภท ดังนี้
- สิวหัวดำ เป็นสิวไม่อักเสบมีลักษณะเป็นเม็ดสีดำ ๆ อยู่บริเวณรูขุมขน สามารถรักษาได้ง่าย
- สิวหัวขาว เป็นสิวไม่อักเสบมีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มนูนสีขาว ๆ คล้ายผื่น แต่จะมีขนาดใหญ่กว่าผื่น ซึ่งสิวหัวขาวสามารถเกิดการอักเสบและติดเชื้อจากการบีบหรือแกะได้
- สิวตุ่มนูนแดง เป็นสิวอักเสบขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง ไม่มีหัว และไม่มีอาการคันหรือปวด
- สิวหัวหนอง มีขนาดคล้ายกับสิวตุ่มนูนแดง แต่จะมีหัวหนองที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ อยู่ด้วย
- สิวอักเสบขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับสิวตุ่มนูนแดง แต่จะมีขนาดใหญ่กว่ามาก และจะมีอาการปวดเมื่อสัมผัส
- สิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบที่รุนแรงและมีขนาดใหญ่ที่สุด อีกทั้งยังสามารถแพร่กระจายไปทั่วบริเวณใบหน้าและลำคอได้
สิวที่คอบอกโรคได้จริงไหม?

รู้หรือไม่ว่า การที่สิวขึ้นซ้ำในบริเวณเดิมเป็นประจำ อาจจะไม่ใช่แค่อาการสิวทั่วไปเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นจากปัจจัยอื่น ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งการเป็นสิวที่คอ หรือสิวบริเวณท้ายทอยซ้ำ ๆ อยู่บริเวณเดียว ควรจะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผิวหนังที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะอาจเป็นสัญญาณบอกโรคอื่น ๆ ได้ด้วย แล้วสิวที่คอบอกโรคอะไรได้บ้าง ไปดูกัน
- ตุ่มน้ำติดเชื้อบนผิวหนัง (Cyst) เกิดจากการที่ผิวหนังอักเสบและติดเชื้อ ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองเป็นตุ่มน้ำขึ้นมา
- คีลอยด์ (Keloid) เป็นแผลเป็นนูนหนาจากการหายของผิวหนังที่อักเสบ เนื่องจากกลไกของผิวหนัง จะสร้างผิวหนังนูนขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมส่วนที่อักเสบหรือเป็นแผล
- ฝีที่เนื้อเยื่อติดเชื้ออย่างรุนแรง (Abscess) ตุ่มหนองอักเสบสะสมใต้ผิวหนัง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) ชนิด Basal Cell Carcinoma ซึ่งเป็นมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากผัวหนังสัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำ จนทำให้ผิวบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อย ๆ กลายเป็นก้อนเนื้อหรือผื่นขึ้นมา
วิธีรักษาสิวที่คอให้หายขาด

สำหรับวิธีรักษาสิวที่คอให้หายขาด มีวิธีรักษาได้หลากหลายวิธี ซึ่งมีทั้งขั้นตอนทางการแพทย์ และขั้นตอนที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถแบ่งได้ 3 กลุ่ม ดังนี้
1. การใช้ยาทาและยารับประทาน
ในกรณีที่เป็นสิวที่คอจำนวนไม่เยอะและไม่ได้มีการอักเสบรุนแรง การรักษาด้วยยาทาและยาทาน นับว่าเป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด เพราะใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถหายได้โดยไม่ทิ้งรอยสิวเอาไว้ โดยยาที่มักจะใช้ในการรักษาสิวที่คอ มีดังนี้
- Benzoyl Perxide หรือ Benzac เป็นยาที่ได้รับความนิยมในการใช้รักษาสิว เนื่องจากสามารถหาซื้อได้ง่าย โดยยาชนิดนี้ จะออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว นอกจากนี้ยังมีการปล่อย Free Oxygen Radicals ออกมาทำลายเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย ซึ่งจุดเด่นของยาชนิดนี้คือ ไม่พบผู้แพ้ยาชนิดนี้มากนัก และไม่ก่อให้เกิดการดื้อยาเหมือนยาปฏิชีวนะ
- Salicylic Acid เป็นกรดธรรมชาติที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และช่วยลดการอุดตัน นอกจากนี้ยังช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อีกด้วย
- Retinoids หรือยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ที่ออกฤทธิ์ช่วยลดการอุดตันและการอักเสบ สามารถใช้รักษาได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ แต่ยากลุ่มนี้จะทำให้ผิวบางลง และไวต่อแสงมากขึ้น ทำให้ผิวแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ดังนั้น ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ควรจะทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านเป็นประจำ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
- ยาปรับฮอร์โมน เป็นยาที่ช่วยปรับฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ให้มีปริมาณลดน้อยลง นิยมใช้รักษาในผู้หญิงเท่านั้น
- ยาทานกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น Erythromycin, Clindamycin, Tetracycline, Doxycycline
ทั้งนี้ การรักษาสิวโดยการใช้ยาทาและยารับประทาน ควรเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรซื้อยามาทาหรือรับประทานด้วยตัวเอง เนื่องจากยาบางชนิดสามารถส่งผลกระทบต่อคนบางกลุ่มได้ เช่น ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่กำลังให้นมบุตร เป็นต้น
2. การรักษาสิวที่คอด้วยแผ่นแปะดูดสิว
แผ่นแปะดูดสิว เป็นวิธีรักษาที่เหมาะกับสิวอักเสบหัวหนองเท่านั้น โดยแผ่นแปะดูดสิวจะทำการดูดของเหลว หนอง และไขมันส่วนเกินออกมาจากชั้นผิวหนัง ทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการสัมผัสบริเวณที่เป็นสิวโดยไม่จำเป็น ลดการอักเสบและติดเชื้อจากสิ่งสกปรกได้
3. รักษาสิวที่คอโดยแพทย์รักษาสิวเฉพาะทางที่ M VITA CLINIC
สำหรับคนไข้ที่เป็นสิวที่คอรุนแรง การรับคำปรึกษาโดยแพทย์รักษาสิวเฉพาะทาง จะช่วยให้คนไข้ได้รับการวินิจฉัยและวิธีรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาสิวที่เป็นอยู่ ซึ่งที่ M VITA CLINIC เรามีขั้นตอนรักษาสิวที่ตอบโจทย์กับทุกปัญหาสิว ด้วยโปรแกรม Medi-Aclear ด้วยขั้นตอน
- การทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก 2 ขั้นตอนการทำความสะอาดผิว ด้วยผลิตภัณฑ์เฉพาะสูตร
- การผลัดเซลล์ผิว ด้วยกรดผลไม้สูตรเฉพาะ
- การอบโอโซน เปิดรูขุมขนให้ง่ายต่อการกดสิวและพร้อมรับการบำรุง
- การกดสิว โดยแพทย์ที่มีความชำนาญและเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาเป็นอย่างดี ช่วยให้สิวหลุดออกจากชั้นผิวหนังได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อ
- การฉายแสงรักษาสิว เป็นการใช้แสงสีน้ำเงินและสีแดงในการกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการอักเสบและบวมแดงจากการกดสิว รวมถึงช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงและลดการเกิดรอยสิวได้
- การฉีดสิว เหมาะกับสิวอักเสบลึก สิวไม่มีหัว และสิวผด โดยจะเป็นการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในสิวหรือใต้ผิวหนัง ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบ ทำให้สิวยุบลงแต่หัวสิวจะยังคงอยู่ ทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
- การเลเซอร์รักษาสิว เป็นการใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 Laser มาใช้ในการกำจัดไขมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนให้หลุดไป ซึ่งหลังจากเลเซอร์รักษาสิวไปแล้ว จะมีอาการบวมแดง และเป็นแผลตกสะเก็ด จึงต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
ปัญหาสิวที่คอ จบได้ที่ M VITA CLINIC

ปัญหาสิวที่คอ เป็นปัญหาผิวที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี ก็อาจจะทำให้สิวที่คอเกิดการอักเสบรุนแรง และลุกลามไปทั่วบริเวณได้ ดังนั้น สำหรับคนไข้ที่มีปัญหาสิวที่คอและต้องการรักษาด้วยวิธีที่มีความปลอดภัย M VITA CLINIC ก็มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมวินิจฉัยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ที่คลินิกของเรายังใช้แต่เครื่องมือและยารักษามาตรฐานระดับโลก เพื่อให้คนไข้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์การรักษาได้อย่างแน่นอน สำหรับคนไข้ที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลหรือจองคิวเข้ารับบริการได้ที่
- LINE: https://page.line.me/mvitaclinic?openQrModal=true
- FaceBook: https://www.facebook.com/mvitacliniccenter
- Tel: 081-492-2626, 02-640-8097
- Google Maps: https://maps.app.goo.gl/ZMEgATLszMJsHpNC8
ติดต่อ จองคิว ปรึกษาแพทย์
ข้อมูลของ เอ็มวีต้า คลินิก (Mvita Clinic)
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- เอ็มวีต้า คลินิก (คลิก) ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่