
“สิวหัวช้าง” ชื่อนี้คงทำให้หลายคนรู้สึกกังวลไม่น้อย เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นสิวประเภทที่รุนแรงที่สุดชนิดหนึ่ง ไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่และก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่ยังทิ้งร่องรอยแผลเป็นที่รักษายากไว้อีกด้วย คำถามสำคัญที่มักตามมาคือ สิวหัวช้างเกิดจากอะไรกันแน่? ต้องทนเจ็บปวดและสงสัยว่าสิวหัวช้างกี่วันหาย? และจะมีวิธีรักษาให้หายขาดได้จริงหรือไม่? บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงต้นตอ ลักษณะ วิธีรักษา และการป้องกันสิวหัวช้าง พร้อมตอบคำถามคาใจเพื่อให้คุณรับมือกับปัญหาสิวชนิดนี้ได้อย่างถูกต้อง
สิวหัวช้าง คืออะไร
สิวหัวช้าง (Nodulocystic Acne หรือ Severe Nodular Acne) จัดเป็นสิวประเภทที่รุนแรงที่สุดในกลุ่มสิวอักเสบ (Inflammatory Acne) ลักษณะเด่นคือ เป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นลึกในชั้นผิวหนัง (Dermis) มากกว่าสิวทั่วไปอย่างสิวอุดตัน (Comedones) หรือสิวหัวหนอง (Pustules) การอักเสบที่รุนแรงและอยู่ลึกนี้เองที่ทำให้สิวหัวช้างมีขนาดใหญ่ รู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อสัมผัส และมีความเสี่ยงสูงมากที่จะทิ้งรอยแผลเป็นชนิดหลุมสิว (Atrophic Scars) หรือแผลเป็นนูน (Hypertrophic Scars/Keloids) ไว้หลังจากสิวยุบแล้ว
ลักษณะของสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างมีลักษณะที่สังเกตได้ค่อนข้างชัดเจนและแตกต่างจากสิวประเภทอื่น ๆ ดังนี้:
- ตุ่มนูนขนาดใหญ่: มีขนาดใหญ่กว่าสิวทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด อาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 5 มิลลิเมตรขึ้นไป
- อยู่ลึกใต้ผิวหนัง: สัมผัสแล้วรู้สึกเป็นก้อนแข็ง ๆ หรืออาจนิ่ม ๆ เหมือนมีของเหลวอยู่ข้างใน (ซีสต์) ฝังอยู่ลึกใต้ผิว ไม่ใช่แค่ตุ่มนูนบนผิวชั้นบน
- อาการเจ็บปวด: มักมีอาการเจ็บปวดมาก แม้ไม่ได้สัมผัสโดนก็ตาม
- สีของสิว: อาจมีสีแดงจัด แดงอมม่วง หรือสีเดียวกับผิวหนังก็ได้
- ไม่มีหัวสิวที่ชัดเจน: ส่วนใหญ่มักไม่มีหัวหนองสีขาวให้เห็นบนผิว เหมือนลักษณะของสิวไม่มีหัวเป็นไต หรือเป็นก้อนแข็ง ๆ อยู่ข้างใต้ ทำให้ไม่สามารถกดหรือบีบเอาหัวสิวออกมาได้ง่าย ๆ
- ระยะเวลาที่เป็น: สิวหัวช้างแต่ละเม็ดอาจคงอยู่บนผิวนานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ๆ หากไม่ได้รับการรักษา
- มักทิ้งรอยแผลเป็น: เนื่องจากเป็นการอักเสบที่รุนแรงและทำลายเนื้อเยื่อผิวชั้นลึก จึงมักทิ้งรอยแผลเป็นไว้เสมอ
สาเหตุสิวหัวช้าง เกิดจากอะไร

การเกิดสิวหัวช้างเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงในรูขุมขนและต่อมไขมันที่อยู่ลึกลงไป ปัจจัยหลัก ๆ ที่เป็นสาเหตุ ได้แก่:
1. ฮอร์โมน
ฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจน (Androgens) เช่น เทสโทสเตอโรน มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นให้ต่อมไขมัน (Sebaceous Glands) มีขนาดใหญ่ขึ้นและผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการเกิดสิว นอกจากนี้ ฮอร์โมนยังส่งผลต่อการอักเสบในรูขุมขนได้โดยตรง ความผันผวนของฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น, รอบเดือนในผู้หญิง, หรือภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลอื่น ๆ จึงเป็นปัจจัยกระตุ้นหลักของการเกิดสิวหัวช้าง โดยเฉพาะสิวที่ขึ้นบริเวณกรอบหน้า และคาง
2. เชื้อแบคทีเรีย C.acne
เชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (หรือ C. acnes, เดิมชื่อ P. acnes) เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังและในรูขุมขนเป็นปกติ เมื่อรูขุมขนอุดตันจากไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แบคทีเรียชนิดนี้จะเจริญเติบโตได้ดีและผลิตสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวหัวช้าง ร่างกายจะตอบสนองต่อเชื้อนี้อย่างรุนแรง ทำให้เกิดการอักเสบอย่างหนักและลุกลามลึกลงไป
3. ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากเกินไป (Excessive sebum production)
ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวหัวช้างมักมีต่อมไขมันที่ทำงานมากกว่าปกติ หรือมีการผลิตน้ำมันที่มีส่วนประกอบผิดปกติไป ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนได้ง่าย และเป็นแหล่งอาหารชั้นดีให้กับเชื้อ C. acnes
4. การอักเสบ และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (Inflammation and immune response)
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิวธรรมดากลายเป็นสิวหัวช้างคือ การตอบสนองที่ผิดปกติและรุนแรงของระบบภูมิคุ้มกันต่อการอุดตันและเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ร่างกายจะส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวจำนวนมากมายังบริเวณนั้น ทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และเจ็บปวดอย่างรุนแรง ในบางครั้ง ผนังรูขุมขนอาจแตกออก (Follicular Rupture) ทำให้สิ่งอุดตันและเชื้อแบคทีเรียกระจายสู่เนื้อเยื่อโดยรอบ ก่อให้เกิดการอักเสบที่ลุกลามและกลายเป็นก้อนซีสต์ขนาดใหญ่
5. การใช้มือลูบ หรือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ
แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลักโดยตรงที่ทำให้เกิดสิวหัวช้าง แต่การใช้มือที่ไม่สะอาดสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ หรือการพยายามแกะ บีบ เค้นสิว เป็นการเพิ่มเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิว และกระตุ้นให้การอักเสบที่มีอยู่เดิมรุนแรงมากขึ้นได้
6. การใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสำหรับผิวเป็นสิว
การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Comedogenic) หรือก่อให้เกิดการระคายเคือง สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสิวประเภทต่าง ๆ และอาจส่งผลให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้นได้ในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวหัวช้างอยู่แล้ว
บริเวณที่มักเกิดสิวหัวช้าง
สิวหัวช้างสามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนใบหน้าเท่านั้น บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่:
- ใบหน้า: โดยเฉพาะบริเวณ U-Zone เช่น สิวที่แก้ม, สิวที่คาง, และสิวขึ้นกรอบหน้า ซึ่งสัมพันธ์กับอิทธิพลของฮอร์โมน แต่ก็สามารถพบเป็นสิวที่หน้าผาก หรือสิวที่ปาก ได้เช่นกัน
- แผ่นหลัง: สามารถพบเป็นสิวที่หลัง ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เป็นตำแหน่งยอดฮิตของการเกิดสิวหัวช้าง โดยเฉพาะในผู้ชาย การเกิดสิวที่หลังแบบรุนแรงนี้อาจต้องใช้การรักษาที่เข้มข้น
วิธีรักษาสิวหัวช้าง
เนื่องจากสิวหัวช้างเป็นการอักเสบที่รุนแรงและอยู่ลึก การรักษาจึงมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลามากกว่าสิวประเภทอื่น ๆ การซื้อยามาทาเองมักไม่ได้ผล และจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมเพื่อควบคุมการอักเสบ ลดความเจ็บปวด และป้องกันการเกิดแผลเป็น วิธีการรักษาหลัก ๆ มีดังนี้:
1. การรักษาสิวหัวช้างด้วยยาทาเฉพาะที่

ยาทาเฉพาะที่มักใช้เป็นการรักษาร่วมกับวิธีอื่น ๆ หรือใช้ควบคุมสิวหลังจากที่สิวหัวช้างยุบลงแล้ว ยาที่แพทย์อาจสั่งจ่าย ได้แก่:
- กลุ่ม Retinoids: เช่น Tretinoin, Adapalene, Tazarotene ช่วยลดการอุดตัน ผลัดเซลล์ผิว และลดการอักเสบ
- กลุ่มยาปฏิชีวนะเฉพาะที่: เช่น Clindamycin, Erythromycin มักใช้ร่วมกับ Benzoyl Peroxide เพื่อฆ่าเชื้อ C. acnes และลดการดื้อยา
- Azelaic Acid: ช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และช่วยให้รอยดำจางลง
- Dapsone: เป็นยาต้านการอักเสบอีกชนิดที่ใช้ทาเฉพาะที่
อย่างไรก็ตาม ยาทาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการควบคุมสิวหัวช้างที่รุนแรง
2. การใช้ยาทาน แก้สิวหัวช้าง

ยารับประทานเป็นส่วนสำคัญในการรักษาสิวหัวช้าง
- ยาปฏิชีวนะ: กลุ่ม Tetracyclines (เช่น Doxycycline, Minocycline) หรือ Macrolides (เช่น Erythromycin, Azithromycin) ช่วยลดปริมาณเชื้อ C. acnes และลดการอักเสบ มักใช้เป็นระยะเวลาหลายเดือน
- ยาคุมกำเนิด (สำหรับเพศหญิง): ยาคุมกำเนิดบางชนิดที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน สามารถช่วยควบคุมสิวหัวช้างที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนได้
- ยา Spironolactone (สำหรับเพศหญิง): เป็นยาขับปัสสาวะที่มีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน ช่วยลดการผลิตน้ำมันและการอักเสบที่เกิดจากฮอร์โมน
- Isotretinoin (เช่น Accutane, Roaccutane): ถือเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวรุนแรง รวมถึงสิวหัวช้าง โดยออกฤทธิ์ลดขนาดต่อมไขมัน ลดการผลิตน้ำมัน ลดการอักเสบ และลดการอุดตัน อย่างไรก็ตาม ยานี้มีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลายอย่าง และมีข้อห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด การใช้ยาจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น
3. การรักษาสิวหัวช้างกับแพทย์ผิวหนัง

การไปพบแพทย์ผิวหนังเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับผู้ที่เป็นสิวหัวช้าง แพทย์จะทำการประเมินความรุนแรง หาสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจเป็นการใช้ยาชนิดเดียวหรือหลายชนิดร่วมกัน รวมถึงให้คำแนะนำในการดูแลผิวและการป้องกัน
4. การฉีดสิว

การฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Intralesional Corticosteroid Injection) เป็นวิธีการรักษาเฉพาะจุดสำหรับสิวหัวช้างเม็ดใหญ่ ๆ ที่มีการอักเสบและเจ็บปวด การฉีดยาเข้าไปในตุ่มสิวโดยตรงสามารถช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวยุบลงได้เร็วขึ้น โดยผลลัพธ์อาจเห็นได้ภายใน 24-72 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดและความรุนแรงของสิวในแต่ละบุคคล การรักษาวิธีนี้ช่วยลดความเจ็บปวดและลดโอกาสเกิดแผลเป็นจากสิว แต่ไม่สามารถรักษาสาเหตุของการเกิดสิวได้โดยตรง
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวหัวช้างขึ้นบนใบหน้า
แม้ว่าปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมนจะมีบทบาทสำคัญ แต่การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีก็สามารถช่วยลดความรุนแรงและลดโอกาสการเกิดสิวหัวช้างซ้ำได้
1. รักษาความสะอาดของใบหน้า
ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) และหลังออกกำลังกาย ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรืออุดตัน
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว มอยส์เจอไรเซอร์ และครีมกันแดด ที่มีฉลาก “Non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน), “Oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) และ “Fragrance-free” (ปราศจากน้ำหอม) เพื่อลดการระคายเคือง
3. ไม่แคะ แกะ หรือบีบสิว

ข้อนี้สำคัญที่สุด! การพยายามบีบเค้นสิวหัวช้างจะยิ่งทำให้อักเสบหนักขึ้น เชื้อโรคกระจายตัว และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นอย่างมาก อดทนและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของยาหรือการรักษาโดยแพทย์
4. เสริมความแข็งแรงให้ผิว
ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวเป็นประจำ เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ผิวที่แข็งแรงจะทนทานต่อปัจจัยกระตุ้นได้ดีขึ้น
5. หลีกเลี่ยงการใช้มือลูบหรือสัมผัสใบหน้า
พยายามลดการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น เพื่อลดการนำพาสิ่งสกปรกและเชื้อโรคมาสู่ผิว และลดการกระตุ้นทางกายภาพ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ สิวหัวช้าง
รักษาสิวหัวช้างกี่วันหาย
สิวหัวช้างกี่วันหาย? คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละบุคคลว่ามีการตอบสนองต่อยารักษามากน้อยแค่ไหน บางคนอาจใช้เวลารักษา 1-2 สัปดาห์ก็หาย แต่บางคนอาจใช้เวลาหลายเดือน
สิวหัวช้างหายเองได้ไหม
เป็นไปได้ยากมากที่สิวหัวช้างจะหายไปเองได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ทิ้งร่องรอย แม้การอักเสบอาจค่อย ๆ ลดลงเองในระยะเวลาที่ยาวนาน (หลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน) แต่กระบวนการอักเสบที่รุนแรงได้ทำลายเนื้อเยื่อผิวไปแล้ว ทำให้เกิดเป็นแผลเป็นชนิดหลุมหรือนูนตามมาเกือบทุกครั้ง การรอให้หายเองจึงไม่ใช่วิธีที่แนะนำ เพราะนอกจากจะเจ็บปวดและเสียความมั่นใจแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อแผลเป็นถาวรอีกด้วย
กดหรือบีบสิวหัวช้างได้ไหม
ห้ามกดหรือบีบสิวหัวช้างโดยเด็ดขาด เนื่องจากการอักเสบอยู่ลึกมาก การพยายามบีบไม่เพียงแต่ไม่สามารถนำหัวสิวหรือหนองออกมาได้ แต่ยังทำให้ผนังรูขุมขนที่อักเสบอยู่แล้วแตกออกใต้ผิวหนัง ทำให้การอักเสบและติดเชื้อลุกลามกว้างขึ้น เจ็บปวดมากขึ้น และรับประกันได้ว่าจะเกิดรอยแผลเป็นที่ชัดเจนและรักษายากกว่าเดิม หากรู้สึกเจ็บปวดมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการฉีดสิวจะดีที่สุด
สิวหัวช้างอันตรายไหม
โดยตัวสิวหัวช้างเองไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต ได้แก่
- ความเจ็บปวด: สิวหัวช้างทำให้เกิดอาการเจ็บปวดรุนแรง
- ผลกระทบทางจิตใจ: อาจทำให้รู้สึกอาย เสียความมั่นใจ เครียด หรือซึมเศร้าได้
- แผลเป็นถาวร: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดและส่งผลกระทบในระยะยาว ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน
- การติดเชื้อ: แม้ไม่บ่อย แต่การอักเสบที่รุนแรงหรือการพยายามบีบเค้นอาจนำไปสู่การติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงขึ้นได้
สรุปบทความ
สิวหัวช้าง คือ รูปแบบที่รุนแรงที่สุดของ สิวอักเสบ เกิดจากการอักเสบอย่างหนักในชั้นผิวหนังลึก มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดใหญ่ แข็ง เจ็บปวด และมักไม่เห็นหัวสิวชัดเจน สาเหตุเกิดจากปัจจัยร่วมกันทั้งฮอร์โมน, เชื้อแบคทีเรีย C. acnes, การผลิตไขมันมากเกินไป, และการตอบสนองที่รุนแรงของระบบภูมิคุ้มกัน การรักษาจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง ซึ่งอาจใช้ยาทา, ยารับประทาน (ยาปฏิชีวนะ, Isotretinoin), หรือการฉีดสิว เพื่อควบคุมการอักเสบและป้องกันแผลเป็นสำหรับคำถามที่ว่า สิวหัวช้างกี่วันหาย นั้น ไม่สามารถระบุเป็นจำนวนวันที่แน่นอนได้ การรักษาต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน และต้องอาศัยความต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ห้ามบีบหรือกดสิวหัวช้างโดยเด็ดขาด และควรดูแลผิวอย่างอ่อนโยนเพื่อลดปัจจัยกระตุ้น หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาสิวหัวช้าง การปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ
ติดต่อ จองคิว ปรึกษาแพทย์
ข้อมูลของ เอ็มวีต้า คลินิก (Mvita Clinic)
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่