สิวผดเกิดจากอะไร มีวิธีป้องกันและรักษาสิวผดอย่างไรบ้าง

สิวผดเกิดจากอะไร มีลักษณะยังไงบ้าง รักษาอย่างไรให้หายขาด

เคยไหมที่จู่ ๆ ก็มีผื่นเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นเต็มใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากหรือแก้ม ? อาการแบบนี้หลายคนเรียกว่า “สิวผด” ซึ่งมักจะสร้างความรำคาญใจ ไม่สบายผิว และทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน หลายคนสงสัยว่าแท้จริงแล้วสิวผดเกิดจากอะไรกันแน่ ? ใช่สิวจริง ๆ หรือเปล่า ? มีลักษณะแตกต่างจากสิวประเภทอื่นอย่างไร และที่สำคัญคือ จะมีวิธีรักษาและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้อย่างไรบ้าง บทความนี้จะพาคุณไปไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับสิวผด พร้อมแนะแนวทางการดูแลรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณกลับมามีผิวที่เรียบเนียน สุขภาพดีอีกครั้ง

สิวผด คืออะไร?

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า “สิวผด” ที่เราเรียกกันติดปากนั้น จริง ๆ แล้วอาจไม่ใช่สิวในความหมายทางการแพทย์ (Acne Vulgaris) เสมอไป แต่เป็นลักษณะของผื่นผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่แสดงอาการออกมาเป็นตุ่มเล็ก ๆ จำนวนมาก มักมีอาการคันร่วมด้วย สาเหตุและกลไกการเกิดแตกต่างจากสิวทั่วไปอย่างสิวอุดตัน (Comedones) ที่เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิว หรือสิวอักเสบ (Inflammatory Acne) ที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ร่วมด้วย 

ซึ่งสิวผดมักเกี่ยวข้องกับการระคายเคือง การแพ้ เหงื่อ หรือการทำงานของต่อมเหงื่อที่ผิดปกติ บางครั้งอาจเกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อราประเภทยีสต์ในรูขุมขน (Malassezia Folliculitis หรือ Pityrosporum Folliculitis) ซึ่งมักถูกกระตุ้นจากความร้อน ความอับชื้น หรือการใช้ยาบางชนิด ดังนั้น สิวผดจึงเป็นเหมือนคำเรียกกว้าง ๆ ของอาการหน้าเป็นผื่นเม็ดเล็ก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายสิวนั่นเอง

สิวผด เกิดจากอะไร?

สิวผดเกิดจากอะไร มีลักษณะยังไงบ้าง รักษาอย่างไรให้หายขาด

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผดนั้นมีหลากหลายปัจจัย ซึ่งแต่ละคนอาจมีปัจจัยกระตุ้นที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจว่าสิวผดเกิดจากอะไรจะช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและดูแลผิวได้อย่างตรงจุดมากขึ้น สาเหตุหลัก ๆ ที่พบบ่อย ได้แก่:

1. สิวผดที่เกิดจากสภาพอากาศ

ประเทศไทยมีอากาศร้อนชื้นเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิวผดได้ง่าย ความร้อนทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามาก และหากเหงื่อไม่สามารถระบายออกได้สะดวก หรือมีการอุดตันของท่อเหงื่อ (Sweat Ducts) ก็จะทำให้เหงื่อคั่งค้างอยู่ใต้ผิวหนัง เกิดเป็นตุ่มน้ำใส ๆ หรือตุ่มแดงเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ผดร้อน (Miliaria หรือ Heat Rash) นอกจากนี้ ความร้อนยังกระตุ้นให้เชื้อรา Malassezia ที่อยู่บนผิวหนังเจริญเติบโตได้ดีขึ้น ก่อให้เกิดการอักเสบในรูขุมขนกลายเป็นสิวผดจากเชื้อราได้

2. สิวผดที่เกิดจากมลภาวะ ฝุ่นPM 2.5

ในปัจจุบัน มลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวโดยตรง ฝุ่นละอองเหล่านี้สามารถเกาะติดผิวหนัง แทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน ก่อให้เกิดการระคายเคือง ทำลายเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิวผดเกิดจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก

3. สิวผดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

พฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวผดได้ เช่น การออกกำลังกายแล้วไม่รีบทำความสะอาด ปล่อยให้เหงื่อหมักหมมบนผิวหนัง, การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือระบายอากาศได้ไม่ดี, การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน ๆ ทำให้เกิดความอับชื้นและการเสียดสี, การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือเครื่องสำอางที่เนื้อหนักเกินไปหรือมีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง, หรือแม้แต่การใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ ก็เป็นการนำพาสิ่งสกปรกและเชื้อโรคมาสู่ผิวได้

4. สิวผดที่เกิดจากเกราะปกป้องผิวอ่อนแอ

เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) คือปราการด่านแรกที่ช่วยปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอกและรักษาความชุ่มชื้นไว้ภายใน หากเกราะป้องกันผิวอ่อนแอลงจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไป, การขัดถูผิวบ่อย ๆ , การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจัด, หรือภาวะผิวขาดน้ำ ผิวก็จะไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น ทำให้ปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ เช่น เหงื่อ มลภาวะ หรือสารเคมี สามารถทำร้ายผิวได้ง่ายขึ้น และเป็นสาเหตุให้สิวผดเกิดจากความไม่สมดุลของผิวหนังนั่นเอง

ลักษณะของสิวผด

ลักษณะของสิวผด

สิวผดมีลักษณะที่ค่อนข้างจำเพาะและแตกต่างจากสิวประเภทอื่น ๆ ทำให้สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ดังนี้

  • ตุ่มเล็ก ๆ จำนวนมาก: มักเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก (ประมาณ 1-2 มิลลิเมตร) ขึ้นเป็นกระจุกหรือกระจายตัวเป็นบริเวณกว้าง
  • ลักษณะตุ่ม: อาจเป็นตุ่มน้ำใส ๆ (Miliaria Crystallina), ตุ่มแดง (Miliaria Rubra), หรือตุ่มแดงที่มีหนองเล็ก ๆ อยู่ข้างในคล้ายสิวหัวหนองแต่ขนาดเล็กกว่ามาก (Miliaria Pustulosa หรือ Pityrosporum Folliculitis)
  • ไม่มีหัวสิว: แตกต่างจากสิวอุดตัน ที่มักเห็นเป็นหัวดำหรือหัวขาว และมักไม่มีลักษณะเป็นไตแข็ง ๆ ลึก ๆ เหมือนสิวไม่มีหัวเป็นไต หรือสิวหัวช้าง
  • อาการคัน: สิวผดส่วนใหญ่มักมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ต่างจากสิวทั่วไป
  • การเห่อ: มักจะเห่อขึ้นมาพร้อม ๆ กันอย่างรวดเร็วเมื่อเจอปัจจัยกระตุ้น เช่น อากาศร้อนจัด หรือหลังเหงื่อออกมาก และอาจยุบลงได้เองเมื่อปัจจัยกระตุ้นหมดไป
  • ผิวไม่เรียบ: ทำให้ผิวบริเวณที่เป็นดูสาก ๆ ไม่เรียบเนียน หรือเห็นเป็นหน้าเป็นผื่นเม็ดเล็ก ๆ ชัดเจน
  • อาจคล้ายสิวเม็ดข้าวสาร: บางครั้งอาจสับสนกับสิวเม็ดข้าวสาร แต่สิวเม็ดข้าวสารมักเป็นตุ่มสีขาวขุ่น แข็งกว่า และไม่มีอาการคัน

บริเวณที่มักเกิดสิวผด

บริเวณที่มักเกิดสิวผด

สิวผดสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายบริเวณของร่างกาย โดยเฉพาะส่วนที่มักมีเหงื่อออกมาก อับชื้น หรือมีการเสียดสีบ่อย ๆ บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่:

สิวผดที่หน้าผาก

หน้าผากเป็นบริเวณที่ต่อมเหงื่อทำงานมาก และมักสัมผัสกับเส้นผม ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม หมวก หรือที่คาดผม ทำให้เกิดการอับชื้นและระคายเคืองได้ง่าย สิวที่หน้าผากจึงอาจเป็นได้ทั้งสิวผดและสิวประเภทอื่น ๆ 

สิวผดที่แก้ม

สิวที่แก้มอาจเกิดจากสิวผดได้ โดยเฉพาะจากการเสียดสีของหน้ากากอนามัย การใช้โทรศัพท์มือถือแนบแก้ม หรือการนอนทับปลอกหมอนที่ไม่สะอาด ทำให้เกิดการระคายเคืองและอุดตันของต่อมเหงื่อหรือรูขุมขน

สิวผดที่คาง

คล้ายกับบริเวณแก้ม บริเวณคางก็สามารถเกิดสิวที่คางได้เช่นกัน โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากการใส่หน้ากาก การใช้มือเท้าคาง หรือเหงื่อที่สะสม

สิวผดที่หลัง

สิวที่หลังโดยเฉพาะบริเวณแผ่นหลังส่วนบนหรือหน้าอก เป็นตำแหน่งที่เกิดสิวผดได้บ่อย เนื่องจากเป็นบริเวณที่เหงื่อออกมากและมักถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้า ทำให้เกิดความอับชื้นและเสียดสีได้ง่าย

วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดสิวผด

การป้องกันเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือกับสิวผด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลผิวอย่างเหมาะสมจะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวผดซ้ำ ๆ ได้

1. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสผิวหน้า

หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสผิวหน้า

มือของเราเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและสิ่งสกปรก การสัมผัส ลูบ หรือเกาใบหน้าบ่อย ๆ จะเป็นการนำพาสิ่งสกปรกและสารก่อระคายเคืองมาสู่ผิวหนัง พยายามลดการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น

2. ล้างหน้าอย่างถูกวิธี

ทำความสะอาดผิวหน้าวันละ 2 ครั้ง และหลังเหงื่อออกมาก โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ปราศจากสารสบู่ที่รุนแรง (Sulfate-free) และมีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว ล้างด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป และซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าสะอาด

3. หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดการแพ้

สังเกตว่ามีผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง อาหาร หรือปัจจัยแวดล้อมใดที่กระตุ้นให้เกิดสิวผดหรือไม่ หากพบ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น ๆ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตร Hypoallergenic หรือสำหรับผิวแพ้ง่าย

5. ซ่อมและสร้างเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง

ซ่อมและสร้างเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง

การมีเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันสิวผด ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว มีส่วนผสม เช่น Ceramides, Hyaluronic Acid, Niacinamide เป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสครับผิวแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวเข้มข้นบ่อยเกินไป

6. หลีกเลี่ยงแสงแดด

แสงแดดและความร้อนเป็นตัวกระตุ้นสำคัญของสิวผด ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานาน หากจำเป็น ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF เหมาะสม เลือกสูตรที่บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) สวมหมวก หรือกางร่มเพื่อป้องกันผิว

วิธีรักษาสิวผดให้ใบหน้ากลับมาเรียบเนียน

เมื่อเกิดสิวผดขึ้นแล้ว การดูแลรักษาที่ถูกต้องจะช่วยบรรเทาอาการและทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้เร็วขึ้น

1. หลีกเลี่ยงแสงแดด

ยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน เพราะเป็นปัจจัยกระตุ้นหลัก พยายามอยู่ในที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก และทาครีมกันแดดเป็นประจำ

2. ล้างหน้าให้ถูกวิธี

ล้างหน้าให้ถูกวิธี

ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน ไม่ขัดถูแรง ๆ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย และล้างหน้าทันทีหลังเหงื่อออก

3. หลีกเลี่ยงการสัมผัส แกะ นวด ขัดบริเวณใบหน้า

หลีกเลี่ยงการสัมผัสและรบกวนผิวหน้า

การรบกวนผิวบริเวณที่เป็นสิวผดจะยิ่งทำให้ระคายเคืองและอักเสบมากขึ้น ห้ามแกะ เกา หรือขัดถูโดยเด็ดขาด

4. ทานอาหารที่มีประโยชน์

รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ เน้นผัก ผลไม้ และดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพผิวจากภายใน

5. พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด

การนอนหลับอย่างเพียงพอและการจัดการความเครียดมีส่วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดี และส่งผลดีต่อการฟื้นฟูสภาพผิว

6. หลีกเลี่ยงการใช้ครีมหรือยาที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง

ในช่วงที่เป็นสิวผด ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น กรดวิตามินเอ (Retinoids), AHA/BHA ความเข้มข้นสูง, แอลกอฮอล์, หรือน้ำหอม จนกว่าอาการจะดีขึ้น

7. เลือกใช้โฟมล้างหน้าลดสิวผด ให้เหมาะกับผิวหนังของคุณ

เลือกใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิว อาจพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยปลอบประโลมผิว เช่น สารสกัดจากว่านหางจระเข้ (Aloe Vera), ใบบัวบก (Centella Asiatica), หรือคาโมมายล์ (Chamomile)

8. ยารักษาสิวผด ครีมลดสิวผด ช่วยบรรเทาอาการและปลอบประโลมผิว

ทายารักษาสิว

สำหรับสิวผดที่ไม่รุนแรง อาจใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว เช่น คาลาไมน์โลชั่น หรือเจลว่านหางจระเข้ หากสงสัยว่าเกิดจากเชื้อรา อาจลองใช้แชมพูหรือครีมที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole หรือ Selenium Sulfide ทาบาง ๆ (ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อน) ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาสั่งยาต้านเชื้อรา หรือยาทากลุ่มสเตียรอยด์ความเข้มข้นต่ำเพื่อลดการอักเสบและอาการคัน แต่ควรใช้ในระยะสั้น ๆ และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะการใช้สเตียรอยด์นาน ๆ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้

9. ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง

ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

หากดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น, สิวผดเป็นรุนแรง, คันมาก, หรือไม่แน่ใจว่าสิวผดเกิดจากอะไรกันแน่ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจพิจารณาให้ยาชนิดอื่น ๆ หรือทำการรักษาเพิ่มเติมตามความจำเป็น

โปรแกรมรักษาสิวผด รักษารอยจากสิวที่ M Vita Center

ทรีตเมนต์ดูแลผิวโปรแกรม Derma Calming ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง และดูแลปัญหาสิวผด ผืนแพ้ ระคายเคือง ด้วยขั้นตอนที่อ่อนโยน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือไวต่อการระคายเคือง โดยดูแลภายใต้การประเมินและให้คำแนะนำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนัง โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลปัญหาผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช้ยาแรง และไม่ต้องพักฟื้น

Derma Calming

สรุปบทความ

สิวผด หรืออาการหน้าเป็นผื่นเม็ดเล็ก ๆ ไม่ใช่สิวทั่วไป แต่เป็นปฏิกิริยาของผิวหนังต่อปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ การทำความเข้าใจว่าสิวผดเกิดจากอะไรเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับคนไข้ที่มีปัญหาสิวผด หน้าเป็นผื่นเม็ดเล็ก ๆ หรือมีปัญหาสิวประเภทอื่น ๆ แบบเรื้อรัง พยายามดูแลตัวเองแค่ไหน ผิวหน้าก็ยังไม่หายดี การเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาสิวกับทาง M Vita Clinic จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่หมอแนะนำครับ 

เพราะท่านจะได้รับการวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุ และแนวทางการรักษาได้ตอบโจทย์ปัญหาผิวหน้าที่สุด ซึ่งจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ทิ้งรอยสิวไว้บนใบหน้า และสำหรับใครที่มีปัญหาสิวขึ้นเยอะผิดปกติ หมอขอแนะนำ 2 โปรแกรมนี้เลยครับ ช่วยลดสิวและรอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

  • โปรแกรม Medi-Aclear : เป็นโปรแกรมการรักษาแบบล้ำลึกถึง 8 ขั้นตอน ผ่านการประเมินโดยแพทย์ ด้วยการทำทรีตเมนต์รักษาสิว ไปจนถึงการฉีดสิว และเลเซอร์รักษารอยสิว พร้อมกับรับยารักษาตามที่แพทย์แนะนำร่วมด้วย ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถช่วยให้สิวและรอยสิวดีขึ้นได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
โปรแกรมรักษาสิวและเลเซอร์รอยสิว Medi-Aclear
  • โปรแกรม Ultima-Clear : เป็นโปรแกรมการรักษาด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ Long Pulse Diode 1450nm ที่จะส่งพลังงานลงสู่ต่อมไขมัน เพื่อช่วยลดความมันบนผิวหน้าและช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องพึ่งยาในการรักษาสิว สำหรับคนที่ไม่สามารถทานยาได้
โปรแกรมรักษาสิวและรอย ไม่ทานยา Ultima-Clear

ติดต่อ จองคิว ปรึกษาแพทย์

ข้อมูลของ เอ็มวีต้า คลินิก (Mvita Clinic)

  • เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
  • อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
  • ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
  • สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
  • เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
  • ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ

วันเผยแพร่

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า