
สิวที่คาง เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย สร้างความกังวลใจให้ใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะขึ้นเป็นเม็ดเล็ก ๆ หรืออักเสบรุนแรง หลายคนสงสัยว่า สิวที่คางเกิดจาก ฮอร์โมนเพียงอย่างเดียวหรือไม่ บทความนี้จาก M Vita Center จะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่แท้จริง ลักษณะของสิวประเภทต่าง ๆ ที่มักขึ้นบริเวณคาง พร้อมแนะนำวิธีดูแลรักษาด้วยตนเองและแนวทางการรักษาทางการแพทย์ เพื่อให้คุณบอกลาปัญหาสิวที่คางได้อย่างมั่นใจครับ

สิวที่คางคืออะไร?
สิวที่คาง คือ การอักเสบหรือการอุดตันของรูขุมขนบริเวณคาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ T-Zone ที่มักมีความมันมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของใบหน้า สิวบริเวณนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย และมีลักษณะได้หลากหลาย ตั้งแต่สิวอุดตันสิวอักเสบไปจนถึงสิวหัวช้าง การเข้าใจลักษณะและสาเหตุเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิวที่คางเกิดจากอะไร?
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่คางนั้นมีหลากหลาย ไม่ใช่แค่เรื่องของฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว แม้ว่าฮอร์โมนจะเป็นปัจจัยกระตุ้นหลักที่หลายคนนึกถึง แต่สิวที่คางเกิดจากการผสมผสานของปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้ครับ
1. อาการ PMS (Premenstrual Syndrome)
ช่วงก่อนมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง แต่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเทสโทสเตอโรนอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันและสิวที่คางได้ง่าย หรือที่หลายคนเรียกว่า “สิวฮอร์โมน” นั่นเองครับ
2. ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) สูงกว่าปกติ
ฮอร์โมนแอนโดรเจนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นต่อมไขมัน หากร่างกายมีระดับฮอร์โมนนี้สูงกว่าปกติ (พบได้ในภาวะ เช่น PCOS) จะส่งผลให้มีการผลิตน้ำมันส่วนเกินมากขึ้น เพิ่มโอกาสการอุดตันและทำให้เกิดสิวที่คางรวมถึงสิวขึ้นกรอบหน้า และสิวที่คอได้
3. ชอบบีบสิวและสัมผัสใบหน้า
การใช้มือที่อาจไม่สะอาดสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ หรือการบีบเค้นสิว เป็นการนำพาเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกไปสู่รูขุมขน ทำให้เกิดสิวอุดตัน ที่พัฒนากลายเป็นสิวอักเสบรุนแรงขึ้น และยังเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นตามมาได้ง่าย
4. มลพิษจากสภาวะแวดล้อม ฝุ่นและมลภาวะต่าง ๆ
ฝุ่นละออง ควัน ไอเสีย และมลภาวะต่าง ๆ ในอากาศ สามารถเกาะติดผิวหนังและเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้ โดยเฉพาะเมื่อผสมกับน้ำมันบนผิว ทำให้เกิดการระคายเคือง กระตุ้นให้เกิดสิวที่คางและบริเวณใบหน้าส่วนอื่น ๆ ได้
5. การใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ
การใส่หน้ากากอนามัยนาน ๆ ทำให้เกิดการเสียดสี เกิดความอับชื้นใต้หน้ากาก และมีการสะสมของเหงื่อ น้ำลาย และเชื้อแบคทีเรีย ปัจจัยเหล่านี้รบกวนสมดุลผิวและกระตุ้นให้เกิดการอุดตันและอักเสบ หรือที่เรียกว่า “Maskne” บริเวณสิวที่คาง สิวที่แก้ม และสิวที่ปากได้
สิวที่คางมีลักษณะไหนบ้าง

สิวที่คางสามารถเกิดขึ้นได้หลายประเภท ซึ่งการรู้จักประเภทของสิวได้อย่างถูกต้องจะช่วยให้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้ โดยลักษณะของสิวที่พบบ่อยบริเวณคาง มีดังนี้
อักเสบหรือสิวหัวหนอง
สิวอักเสบ หรือสิวหัวหนองเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น มักมีลักษณะเป็นตุ่มบวมแดง กดแล้วรู้สึกเจ็บ อาจมีหัวหนองสีขาวเหลืองอยู่ด้านบน
สิวอุดตัน
สิวอุดตัน เป็นสิวที่เกิดจากการอุดตันของน้ำมัน (Sebum) และเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ สิวหัวดำ (Blackheads) มีลักษณะเป็นจุดดำ ๆ ที่มองเห็นได้เนื่องจากหัวสิวเปิดและทำปฏิกิริยากับอากาศ และสิวหัวขาว (Whiteheads) ที่หัวสิวปิดอยู่ใต้ผิวหนัง
สิวผด
สิวผด เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นผื่นเม็ดเล็ก ๆ หรือตุ่มใส ๆ อาจมีอาการคันร่วมด้วย มักเกิดจากการแพ้ ระคายเคือง เหงื่อ หรือเชื้อรา ไม่ใช่สิวที่เกิดจากการอุดตันโดยตรง แต่สามารถเกิดขึ้นบริเวณคางได้เช่นกัน
สิวไม่มีหัวเป็นไต
สิวไม่มีหัวเป็นไต (Nodules) คือ สิวอักเสบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง ๆ ขนาดใหญ่อยู่ใต้ผิวหนัง กดแล้วเจ็บ ไม่มีหัวหนองให้เห็น เกิดจากการอักเสบลึกลงไปในชั้นผิวหนัง และมักทิ้งรอยแผลเป็นได้ง่าย
สิวหัวช้าง
สิวหัวช้าง (Cystic Acne) เป็นสิวอักเสบที่รุนแรงที่สุด มีลักษณะเป็นถุงซีสต์ขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง บวมแดง เจ็บปวดมาก ภายในอาจมีหนองปนเลือด และมีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นแผลเป็นหลุมสิวหลังการอักเสบหายไป
สิวเสี้ยน
มีลักษณะเป็นจุดดำ ๆ เล็ก ๆ หรือขนอ่อน ๆ ที่รวมตัวกับไขมันในรูขุมขน มักพบบริเวณจมูก แต่ก็สามารถเกิดบริเวณคางได้เช่นกัน ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน แม้จะไม่ใช่สิวอักเสบ แต่ก็สร้างความรำคาญใจได้
ตำแหน่งของสิวบริเวณคาง
สิวที่คางไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริเวณปลายคางเท่านั้น แต่อาจกระจายตัวอยู่ตามแนวขากรรไกร หรือที่เรียกว่า สิวขึ้นกรอบหน้า รวมถึงบริเวณสิวใต้คาง ซึ่งอยู่ต่ำลงมาเล็กน้อย บางครั้งอาจลามไปถึงบริเวณลำคอส่วนบน เกิดเป็นสิวที่คอได้ ตำแหน่งเหล่านี้มักสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้ต่อมไขมันในบริเวณดังกล่าวทำงานมากกว่าปกติ จึงเป็นจุดที่พบสิวได้บ่อย
เป็นสิวที่คางซ้ำ ๆ เกิดจากอะไร? บ่งบอกอะไรได้บ้าง?
การเกิดสิวที่คาง หรือสิวใต้คางซ้ำ ๆ ในตำแหน่งเดิม มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัจจัยกระตุ้นที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข สาเหตุหลักมักเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่ไม่สมดุล ซึ่งเห็นได้ชัดในผู้หญิงช่วงก่อนมีประจำเดือน หรืออาจเป็นสัญญาณของภาวะบางอย่าง เช่น PCOS นอกจากนี้ พฤติกรรมเดิม ๆ เช่น การสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม หรือสุขอนามัยที่ไม่ดีพอ ก็ทำให้สิวกลับมาเป็นซ้ำได้ รวมถึงอาจสัมพันธ์กับบริเวณอื่น ๆ เช่น สิวที่แก้ม หากมีปัจจัยกระตุ้นร่วมกัน
วิธีรักษาสิวที่คาง ด้วยตัวเอง
สำหรับการดูแลสิวที่คางที่ไม่รุนแรง หรือเป็นการดูแลเบื้องต้น สามารถเริ่มต้นได้ด้วยตนเอง โดยเน้นที่การปรับพฤติกรรมและดูแลความสะอาดอย่างถูกวิธี ซึ่งจะช่วยลดการอุดตันและการอักเสบได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและใจเย็น เพราะการรักษาสิวต้องใช้เวลาครับ
1. การทำความสะอาดผิวหน้า
ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน เหมาะสำหรับผิวมันหรือผิวเป็นสิวง่าย (Acne-prone skin) หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรง ๆ เพราะจะยิ่งระคายเคืองและกระตุ้นการอักเสบ หากแต่งหน้า ควรใช้คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดจดก่อนล้างหน้าเสมอ เพื่อป้องกันสิ่งตกค้างอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิวที่คางการรักษาความสะอาดเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดในการป้องกันและลดปัญหาสิว อย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสใบหน้าทุกครั้ง
2. เลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวสิว
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ระบุว่า “Non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) และ “Oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) หรือเนื้อสัมผัสบางเบา เช่น เจล หรือ เซรั่ม มองหาส่วนผสมที่ช่วยดูแลปัญหาสิว เช่น
- Salicylic Acid (BHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายสิวอุดตัน
- Benzoyl Peroxide ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ลดสิวอักเสบ
- Niacinamide (Vitamin B3) ช่วยลดการอักเสบและควบคุมความมัน
- สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยปลอบประโลมผิว เช่น ทีทรีออยล์ หรือใบบัวบก
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
3. เลือกกันแดดสูตรควบคุมความมัน
แสงแดดอาจทำให้อาการสิวแย่ลงและทิ้งรอยดำหลังสิวหายได้ชัดเจนขึ้น ดังนั้น การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันจึงสำคัญมาก แม้ในวันที่มีเมฆมากหรือไม่ได้ออกไปไหน ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และมีคุณสมบัติ “Broad-spectrum” (ป้องกันทั้ง UVA และ UVB) สำหรับผู้ที่มีสิวที่คางหรือผิวมัน ควรเลือกสูตรที่ออกแบบมาเพื่อผิวเป็นสิวโดยเฉพาะ ซึ่งมักจะเป็นสูตร Oil-free, Non-comedogenic เนื้อบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ และอาจมีคุณสมบัติช่วยควบคุมความมันส่วนเกินร่วมด้วย
4. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารก่อการแพ้ต่อผิว
ผิวที่เป็นสิวมักจะบอบบางและไวต่อการระคายเคืองได้ง่าย ควรสังเกตส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่ใช้ หลีกเลี่ยงสารที่อาจก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง เช่น น้ำหอม, แอลกอฮอล์ (ชนิดที่ทำให้ผิวแห้ง เช่น SD alcohol, denatured alcohol), สีสังเคราะห์, สารกันเสียบางชนิด (เช่น พาราเบน), หรือน้ำมันบางประเภทที่อาจอุดตันรูขุมขนได้ง่าย หากไม่แน่ใจ ควรทดสอบผลิตภัณฑ์บริเวณท้องแขนหรือหลังใบหูก่อนใช้กับใบหน้า เพื่อลดความเสี่ยงในการแพ้และป้องกันไม่ให้สิวที่คางแย่ลง
5. ดูแลความสะอาดของสิ่งที่สัมผัสใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งของต่าง ๆ ที่สัมผัสกับใบหน้าและคางเป็นประจำ อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย สิ่งสกปรก และน้ำมัน ซึ่งสามารถถ่ายทอดมาสู่ผิวและกระตุ้นให้เกิดสิวที่คางได้ง่าย ควรหมั่นทำความสะอาดสิ่งเหล่านี้เป็นประจำ เช่น ซักปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง, เช็ดหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยแผ่นแอลกอฮอล์, ซักผ้าพันคอ หรือทำความสะอาดหมวกกันน็อก การใส่ใจเรื่องความสะอาดของสิ่งรอบตัวเหล่านี้ จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดสิวได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ
6. รักษาความสะอาดหน้ากากอนามัยให้ถูกสุขอนามัย
สำหรับผู้ที่ยังจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ การดูแลสุขอนามัยของหน้ากากเป็นสิ่งสำคัญ หากใช้หน้ากากแบบใช้แล้วทิ้ง ควรเปลี่ยนใหม่ทุกวัน หรือเปลี่ยนเมื่อรู้สึกชื้น หากใช้หน้ากากผ้า ควรซักทำความสะอาดทุกวันด้วยสบู่อ่อน ๆ และตากแดดให้แห้งสนิท เลือกใช้หน้ากากที่ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย และมีขนาดพอดี ไม่เสียดสีกับผิวหน้ามากเกินไป การรักษาความสะอาดของหน้ากากจะช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคและความอับชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นสิวที่คางที่สำคัญในยุคปัจจุบัน
วิธีรักษาสิวที่คางทางการแพทย์ที่เห็นผล
เมื่อการดูแลด้วยตนเองยังไม่สามารถควบคุมสิวที่คางได้ หรือในกรณีที่เป็นสิวรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง สิวไม่มีหัวเป็นไต การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเป็นอีกทางออกที่ดีที่สุด ที่ M Vita Center มีวิธีการรักษาทางการแพทย์หลากหลายวิธีที่เพื่อช่วยลดการอักเสบของสิวและดูแลผิวอย่างตรงจุด ซึ่งแพทย์จะประเมินและเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความรุนแรงของสิวแต่ละบุคคล
ใช้ยาทารักษาสิว
แพทย์อาจพิจารณาสั่งจ่ายยาทาที่มีความเข้มข้นสูงกว่ายาที่หาซื้อได้เอง หรือมีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น
- ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) เช่น Tretinoin, Adapalene ซึ่งช่วยลดการอุดตัน ผลัดเซลล์ผิว และลดการอักเสบได้ดี
- ยาทาปฏิชีวนะ (Topical Antibiotics) เช่น Clindamycin เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P. acnes, หรือ Azelaic Acid ที่ช่วยลดการอักเสบ อาจช่วยลดรอยดำ และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
การใช้ยาทารักษาสิวเหล่านี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้สามารถปรับสูตรยาให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และติดตามผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการแห้ง แดง หรือลอก ซึ่งพบได้ในระยะเริ่มต้นของการใช้ โดยเฉพาะในกรณีของสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ
รับประทานยารักษาสิว
ในกรณีที่สิวที่คางมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก หรือไม่ตอบสนองต่อยาทา แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยารับประทานร่วมด้วย ได้แก่
- ยาปฏิชีวนะ (Oral Antibiotics) เพื่อลดการอักเสบและปริมาณเชื้อแบคทีเรีย, ยาฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิด
- ยา Spironolactone เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมนแอนโดรเจน
- ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) ซึ่งเป็นยาอนุพันธ์ของวิตามินเอ มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวรุนแรง โดยช่วยลดการผลิตน้ำมัน ลดการอุดตัน และลดการอักเสบได้ดี อาจเห็นผลลัพธ์ดีขึ้นเมื่อได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง แต่ยานี้มีผลข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวัง จึงจำเป็นต้องสั่งจ่ายและติดตามการรักษาโดยแพทย์เท่านั้น
ฉีดเมโสหน้าใส มาเด้คอลลาเจน

การฉีดเมโสหน้าใส หรือมาเด้คอลลาเจน เป็นอีกทางเลือกในการฟื้นฟูผิวและช่วยลดปัญหาสิวบางประเภท โดยเป็นการฉีดวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารสกัดจากธรรมชาติ เข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อช่วยลดการอักเสบ ดีท็อกซ์สารพิษ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และปรับสมดุลผิวให้แข็งแรงขึ้น แม้จะไม่ใช่การรักษาสิวโดยตรง แต่ก็สามารถช่วยให้ผิวโดยรวมมีสุขภาพดีขึ้น ลดโอกาสการเกิดสิวที่คางและช่วยให้รอยสิวจางลงได้
กดสิวที่คาง
การกดสิวอย่างถูกวิธีโดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีที่ช่วยกำจัดสิวอุดตัน (ทั้งสิวหัวดำและสิวหัวขาว) และสิวหัวหนองบางประเภท ออกจากรูขุมขนได้อย่างรวดเร็ว ลดโอกาสที่สิวอุดตันจะพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบ และช่วยให้สิวอักเสบยุบเร็วขึ้น

การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญจะใช้เครื่องมือที่สะอาดและเทคนิคที่ถูกต้อง ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ การเกิดรอยแผลเป็น หรือทำให้สิวอักเสบมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากการบีบสิวด้วยตนเองที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้
ฉีดสิวที่คาง

การฉีดสิว คือ การฉีดสารสเตียรอยด์ (Corticosteroid) ที่มีความเข้มข้นต่ำเข้าที่ตุ่มสิวโดยตรง วิธีนี้เหมาะสำหรับสิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวไม่มีหัวเป็นไต หรือสิวหัวช้าง ที่มีลักษณะบวมแดงและเจ็บมาก การฉีดสิวจะช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวยุบลง ลดอาการบวมแดงของสิวในระยะสั้น ลดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นหลุมสิวได้
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เป็นการรักษาตามอาการเฉพาะจุด ไม่ได้รักษาสาเหตุของการเกิดสิว และควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น การเกิดหลุมสิว หรือสีผิวเปลี่ยนแปลง
เลเซอร์สิว

เทคโนโลยีเลเซอร์ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมากและถูกนำมาใช้ในการรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเลเซอร์หลายชนิดที่สามารถช่วยแก้ปัญหาสิวที่คางได้ เช่น เลเซอร์ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P. acnes, เลเซอร์ที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตน้ำมันน้อยลง, หรือเลเซอร์ที่ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อลดรอยแดง รอยดำ และรอยหลุมสิว การเลือกชนิดของเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับประเภทของสิว สภาพผิว และเป้าหมายการรักษา
แนวทางป้องกันไม่ให้เกิดสิวที่คาง
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวที่คางได้อย่างมาก ลองนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ดูนะครับ
- รักษาความสะอาด: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสใบหน้าเสมอ
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: ใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางสูตร Oil-free, Non-comedogenic
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: พยายามไม่ใช้มือจับ ลูบ หรือเท้าคางบ่อย ๆ
- จัดการความเครียด: หากิจกรรมผ่อนคลาย เพราะความเครียดกระตุ้นการเกิดสิวได้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: ลดอาหารหวานจัด มันจัด และอาหารแปรรูป เน้นผัก ผลไม้ และดื่มน้ำให้เพียงพอ
- สุขอนามัยของใช้ส่วนตัว: หมั่นทำความสะอาดปลอกหมอน โทรศัพท์มือถือ และหน้ากากอนามัย
- ไม่บีบหรือแกะสิว: ป้องกันการอักเสบลุกลามและรอยแผลเป็น
- สังเกตและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: หากรู้ว่าอะไรทำให้สิวเห่อ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับช่วยให้ร่างกายและผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากดูแลตัวเองแล้วยังไม่ได้ผล ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่ M Vita Center เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
สรุปบทความ
สิวที่คางเป็นปัญหาผิวที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยภายในอย่างฮอร์โมน และปัจจัยภายนอก เช่น การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม มลภาวะ หรือการเสียดสีจากหน้ากากอนามัย การดูแลเบื้องต้นด้วยตนเองสามารถช่วยควบคุมสิวที่ไม่รุนแรงได้ แต่หากปัญหายังคงอยู่ หรือมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ M Vita Center เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา การทำหัตถการ หรือเลเซอร์ เพื่อช่วยให้ผิวกลับมาดูเรียบเนียนขึ้น และลดความรุนแรงของปัญหาสิวที่คางได้
ติดต่อ จองคิว ปรึกษาแพทย์
ข้อมูลของ เอ็มวีต้า คลินิก (Mvita Clinic)
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่