
สภาพอากาศและมลภาวะที่เราต้องเจอกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาผิวบนใบหน้า ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่คนไข้หลาย ๆ คนน่าจะเคยประสบพบเจอก็คงไม่พ้น “สิวผด” ที่นอกจากจะสร้างความรำคาญใจแล้ว หากมีสิวผดขึ้นเป็นจำนวนมากก็อาจจะทำให้คนไข้ขาดความมั่นใจได้อีกด้วย ดังนั้น ในบทความนี้ M VITA CLINIC จะขอพาคนไข้มาทำความรู้จักให้มากขึ้นว่า สิวผดคืออะไร? เกิดจากอะไร? พร้อมแนะนำวิธีรักษาสิวผด เพื่อให้คนไข้ที่มีปัญหานี้สามารถเผชิญหน้าและรับมือกับปัญหาผิวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิวผดคืออะไร?

สิวผด (Acne Aestivalis หรือ Acne Mallorca) ไม่ใช่สิวอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ แต่จะเป็นผดผื่นเม็ดเล็ก ๆ ที่ขึ้นอยู่ใต้ผิวหนัง โดยบริเวณที่เกิดสิวผดอาจมีตุ่มหรือผื่นสีแดงรอบ ๆ บางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วย มีทั้งแบบสิวเม็ดเล็ก ๆ ไม่มีหัวและแบบที่เป็นตุ่มน้ำใส ๆ อยู่ด้านใน เมื่อสัมผัสผิวบริเวณดังกล่าวจะรู้สึกได้ถึงความไม่เรียบเนียน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
สิวผดเกิดจากอะไร? สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผดมีอะไรบ้าง?
สิวผด เป็นอาการแพ้ของผิวหนังที่ไม่ใช่ปัญหาสิวอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ ซึ่งปัญหานี้สามารถเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ดังนี้
แสงแดด
หากคนไข้โดนแสงแดดเป็นเวลานานโดยไม่มีการปกป้องผิว รังสี UVA ที่อยู่ในแสงแดด จะเข้าไปทำร้ายผิวลึกลงไปถึงผิวหนังชั้นใน นอกจากนี้แสงแดดยังเป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อออกมามากขึ้น และเมื่อผิวไปสัมผัสกับฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ ผิวก็จะเกิดการระคายเคืองและเกิดเป็นสิวผดขึ้นมาได้
เชื้อรา
เชื้อราหรือยีสต์ที่มีชื่อว่า P.ovale เป็นเชื้อราที่มักจะอยู่บริเวณ T-Zone เช่น หน้าผาก จมูก แก้ม และคาง ซึ่งเชื้อรา P.ovale นี้จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับต่อมไขมันบริเวณผิวหนังบนใบหน้า ทำให้เมื่อผิวเสียสมดุลหรือการผลิตน้ำมันออกมามาก เชื้อรานี้ก็จะสามารถเติบโตได้ดี และทำให้ต่อมรูขุมขนเกิดการอักเสบ จนเกิดเป็นสิวผดจำนวนมากขึ้นบนใบหน้า
สภาพผิวที่อ่อนแอ
เกราะปกป้องผิว หรือ Skin Barrier มีหน้าที่ปกป้องไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกหรือปัจจัยภายนอกเข้ามาทำร้ายผิว แน่นอนว่าเมื่อเกราะปกป้องผิวอ่อนแอลง ก็จะเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา เช่น ผิวแห้ง เป็นสิว ผดผื่น เป็นต้น
ฝุ่น PM 2.5
ฝุ่น PM 2.5 นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะนอกจากฝุ่นและมลภาวะในอากาศจะมีขนาดค่อนข้างเล็กแล้ว การสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อค่าฝุ่น PM 2.5 ในอากาศมีปริมาณค่อนข้างสูง ก็จะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเป็นสิวผดหรือสิวแพ้แมสก์ได้เช่นกัน
การล้างหน้าผิดวิธี
เชื่อว่ายังมีคนไข้หลาย ๆ คนที่เข้าใจว่า การล้างหน้าบ่อย ๆ จะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะการล้างหน้าบ่อย ๆ จะทำให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้ผิวหน้าเสียสมดุลได้ นอกจากนี้การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ยังทำให้ผิวแห้งกร้าน เกิดการแพ้และระคายเคืองได้ง่ายอีกด้วย
บริเวณที่มักเกิดสิวผด
ปัญหาสิวผด มักจะเกิดขึ้นในบริเวณ T-Zone เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่จำนวนมาก ทำให้เกิดการระคายเคืองหรืออุดตันได้ง่าย โดยบริเวณที่มักเกิดสิวผดมีดังนี้
- สิวผดที่หน้าผาก เป็นบริเวณที่พบเจอกับแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ ได้ง่ายที่สุด นอกจากนี้คนไข้ที่ไว้ผมหน้าม้าหรือปล่อยผมปรกหน้าก็จะเกิดสิวผดได้ง่าย
- สิวผดที่แก้ม มักเกิดเป็นบริเวณกว้าง เกิดจากการใช้มือสัมผัสกับใบหน้าบ่อย ๆ รวมถึงแสงแดด และการใส่แมสก์ ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเกิดการอุดตันได้
- สิวผดที่คาง อาจเกิดจากการรักษาความสะอาดไม่เพียงพอ รวมถึงการทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็นด้วยเช่นกัน
- สิวผดที่หลัง นอกจากบริเวณใบหน้าแล้ว หลังก็เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่สามารถพบสิวได้บ่อย มักเกิดจากการสะสมของสิ่งสกปรก เหงื่อ และเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ รวมถึงการเสียดสีและการสวมใส่เสื้อผ้าที่อึดอัด ไม่สามารถระบายอากาศได้
สิวผดต่างจากสิวอุดตันยังไง?
สิวผดและสิวอุดตันจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ดังนี้
หัวข้อเปรียบเทียบ | สิวผด | สิวอุดตัน |
ลักษณะของสิว | เป็นเม็ดผดผื่นขนาดเล็ก สีแดงหรือสีขาว อาจมีลักษณะคล้ายตุ่มน้ำใสๆ | เป็นสิวเม็ดเล็กๆ ที่เกิดจากการอุดตันของน้ำมันและสิ่งสกปรกในรูขุมขน มีทั้งแบบสิวหัวขาว (ปิด) และสิวหัวดำ (เปิด) |
อาการร่วม | มีอาการแสบคันร่วมด้วย โดยเฉพาะเมื่อเหงื่อออกหรืออยู่ในที่อากาศร้อน | ไม่มีอาการแสบ แดง บวม หรือคัน มักไม่มีอาการเจ็บ |
สาเหตุ | เกิดจากหลายปัจจัย เช่น เชื้อรา แสงแดด ความร้อน มลภาวะ เหงื่อ การระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอาง | เกิดจากการสะสมของน้ำมันส่วนเกิน สิ่งสกปรก เซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือการใช้เครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน |
ลักษณะการเกิด | มักเห่อขึ้นเมื่อมีอากาศร้อน หรือเมื่อผิวหนังสัมผัสกับความชื้นและเหงื่อ โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและไรผม | พบได้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น หน้าผาก จมูก คาง (T-zone) |
การหาย | มักจะหายได้เองเมื่อสภาพอากาศดีขึ้น หรือผิวหนังไม่สัมผัสกับปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการ เช่น เชื้อราและมลภาวะ | ต้องใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวเพื่อขจัดการอุดตัน ทำความสะอาดผิวอย่างสม่ำเสมอ หรือกดออกเพื่อทำให้สิวหายเร็วขึ้น |
การกดออก | ไม่สามารถกดออกได้ เนื่องจากไม่มีหัวสิวให้กด | สามารถกดออกได้ โดยเฉพาะสิวหัวเปิดที่สามารถเห็นหัวสิวชัดเจน แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีเพื่อลดการอักเสบ |
15 วิธีรักษาสิวผด คืนผิวเรียบเนียน ฉบับหมอรักษาสิว
สำหรับวิธีรักษาสิวผดที่หมอรวบรวมมาแนะนำในบทความนี้ จะมีทั้งการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์, การรักษาด้วยตัวเอง และวิธีรักษาแบบธรรมชาติ โดยสามารถแยกย่อยวิธีรักษาได้ ดังนี้
1. การรักษาด้วยยาทา

การรักษาสิวผดโดยการใช้ยาทา ควรทำภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น โดยคนไข้จะต้องเข้าไปให้แพทย์วินิจฉัยอาการ เพื่อจ่ายยารักษาสิว สำหรับกลุ่มยาที่นิยมใช้มีดังนี้
- ตัวยาที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) เป็นยาทาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อยีสต์ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของสิวผด
- ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ ที่จะเข้าไประงับการเกิดผดผื่นและอาการระคายเคืองที่เกิดขึ้น (แต่ต้องใช้เพียงชั่วคราวภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น)
- ยาทาในกลุ่ม BHA หรือ กรดซาลิไซลิค ( Salicylic acid) ในความเข้มข้นน้อยๆ จะมีฤทธิ์ผลัดผิวอ่อนๆ ช่วยรักษาสิวผดบางชนิดได้ ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
2. การรักษาด้วยยารับประทาน

การรักษาด้วยยารับประทาน จำเป็นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น โดยยเฉพาะคนไข้ที่มีอาการคันและแสบแบบเรื้อรัง หรือรักษาด้วยการทายาทั่วไปไม่ได้ผล ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย และจ่ายยาที่เหมาะสมเพื่อรักษาให้หายขาดต่อไป สำหรับกลุ่มยาที่นิยมใช้มีดังนี้
- ยาปฏิชีวนะ
- ยาฆ่าเชื้อรา
- ยากลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอใช้รักษาในผู้ที่เป็นสิวผดบางชนิดในระดับรุนแรงมาก และไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น
3. การเลเซอร์รักษาสิวผด
การเลเซอร์ เป็นวิธีรักษาทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เนื่องจากเห็นผลไวและสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด แต่มีผลข้างเคียงคือ ทำให้ผิวมีความบอบบางและไวต่อแสงแดดเป็นพิเศษ หากไม่ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผิวอาจเกิดการระคายเคือง เกิดแผลเป็น และฝ้า กระ รวมถึงจุดด่างดำขึ้นได้
4. ปรึกษาแพทย์รักษาสิวเฉพาะทาง

การปรึกษาแพทย์รักษาสิวเฉพาะทาง เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาทางการแพทย์ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เหมาะกับคนไข้ที่มีปัญหาสิวผดรุนแรง มีอาการคันและแสบแบบเรื้อรัง ซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยอาการเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด
5. การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ
การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ หรือการมาส์กหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ นับว่าเป็นวิธีที่ประหยัดและสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยการนำว่านหางจระเข้ แตงกวา หรือมะเขือเทศมามาส์กหน้าบริเวณที่เป็นสิวผด เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และวิตามินเอ ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ปลอบประโลมผิว และลดอาการระคายเคืองให้เบาลงได้
6. ล้างหน้าให้ถูกวิธี

การล้างหน้าที่ถูกวิธี ควรล้างแบบ Double Cleansing โดยให้เริ่มจากการเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางหรือครีมกันแดดบนผิวหน้าด้วยคลีนซิ่ง จากนั้นจึงใช้โฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยนในการทำความสะอาดคราบต่าง ๆ ออกให้หมดจด แล้วเช็ดให้แห้งด้วยกระดาษทิชชูหรือผ้าสะอาด ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวผดได้มากพอสมควร
นอกจากนี้ ยังควรเลือกใช้น้ำอุณหภูมิปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งกร้าน และล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งในตอนเช้าและตอนเย็นเท่านั้น เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไปจะทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันและระคายเคืองได้ง่ายกว่าเดิม
7. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ควรรับประทานผัก และผลไม้ เพื่อเสริมแร่ธาตุและเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว นอกจากนี้ยังควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อเติมความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
8. งดการจับ บีบ หรือแกะสิว

การจับ บีบ แกะ หรือกดสิวผด เป็นพฤติกรรมที่ทำให้สิวเกิดการระคายเคืองและกระตุ้นให้สิวลุกลามไปบริเวณอื่นหรือพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบได้ ดังนั้น จึงควรปรับและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวผดกวนใจขึ้นมา
9. หลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน

แสงแดด นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเกิดสิวขึ้นได้ โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและแก้มที่ต้องเจอกับแสงแดดโดยตรง ดังนั้น คนไข้จึงควรให้ความสำคัญกับการปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดด รวมถึงหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานาน
10. เสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

อย่างที่บอกว่า เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) จะทำหน้าที่ปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ดังนั้น จึงควรเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการทามอยซ์เจอไรเซอร์ เพื่อเติมความชุ่มชื้นและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เซราไมด์ (Ceramide) และกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่ช่วยป้องกันการสูญเสียความชื้น และเสริมความแข็งแรงให้ผิว
11. พักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด

การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ จะช่วยให้ผิวได้รับการพักผ่อนและซ่อมแซมอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวแข็งแรง ช่วยลดการเกิดสิวชนิดต่าง ๆ และทำให้ผิวดูกระจ่างใสได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียดซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย
12. เลือกผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน

ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่เป็นสูตรอ่อนโยน จะช่วยปลอบประโลมผิว และไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวรวมถึงปัญหาผิวที่เป็นอยู่ เพื่อเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น
13. ทำความสะอาดสิ่งของที่ต้องสัมผัสกับใบหน้า

นอกจากจะหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสกับใบหน้าแล้ว การทำความสะอาดสิ่งของที่ต้องสัมผัสกับใบหน้า เช่น โทรศัพท์มือถือ ผ้าเช็ดหน้า ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน เป็นต้น ให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรก เชื้อโรค หรือเหงื่อสะสมอยู่บนสิ่งของเหล่านั้น และไปกระตุ้นให้เกิดสิวผดขึ้น
14. หลีกเลี่ยงการใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคือง

แม้ว่าครีมหรือยาที่มีส่วนผสมแรง ๆ จะเป็นวิธีรักษาสิวผดที่หลาย ๆ คนชอบใช้ แต่ก็เป็นวิธีที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะส่วนผสมที่อยู่ในครีมหรือตัวยา อาจทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคืองมากขึ้น ซึ่งความรุนแรงต่อสภาพผิวของแต่ละบุคคลนั้นก็จะไม่เท่ากัน ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจรักษาสิวผดด้วยการใช้ยาแต้มสิว แนะนำว่าควรหาข้อมูลอย่างละเอียด หรือปรึกษาแพทย์รักษาสิวเฉพาะทาง เพื่อให้แพทย์แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวจะดีที่สุด
15. เปิดใจให้โทนเนอร์

โทนเนอร์ เป็นอีกหนึ่งสกินแคร์ช่วยรักษาสิวผดที่หลาย ๆ คนมองข้าม เพราะนอกจากโทนเนอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้แล้ว ยังช่วยเช็กความสะอาดของผิวหน้า และเปิดรูขุมขน เพื่อนำสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่และเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวผดออกมาได้ด้วย ทั้งนี้ คนไข้ก็จะต้องเช็กให้มั่นใจด้วยว่า โทนเนอร์ที่เลือกมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือไม่ เพื่อป้องกันการแพ้หรือการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้น
รักษาสิวผด ราคา
โปรแกรม เดอร์มาคาล์มมิ่ง (Dermacalming)
โปรแกรมเดอร์มาคาล์มมิ่งนี้ ไม่เพียงแต่จะรักษาในเรื่องของอาการผื่นแดง แสบ คัน เท่านั้น แต่จะต้องรักษาผิวให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาผื่นแพ้กำเริบขึ้นมาอีกในระยะยาวครับ

คอร์ส 10 ครั้ง | คอร์ส 5 ครั้ง | รายครั้ง | |
ราคาเฉลี่ยต่อ 1 ครั้ง | 7,200.- 9,000.- | – | 1,000.- 1,500.- |
ราคาคอร์ส | 720.- 900.- | – | – |
รวมคำถามเกี่ยวกับสิวผดตอบโดยแพทย์รักษาสิวเฉพาะทาง
1. สิวผดเล็ก ๆ เกิดจากอะไร?
สิวผดเกิดจากการแพ้และระคายเคืองบนผิวหนัง จากการโดนแสงแดด ความร้อน มลภาวะต่าง ๆ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละคน
3. สิวผดใช้เวลากี่วันหาย?
สิวผดสามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน แต่หากมีการอักเสบรุนแรงจะใช้เวลาในการรักษาให้หายประมาณ 1-2 เดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการและวิธีรักษาของแต่ละคนด้วยเช่นกัน
4. สิวผดลักษณะเป็นยังไง?
สิวผดจะมีลักษณะคล้ายผดผื่นเล็ก ๆ มักขึ้นเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ จำนวนมาก มีสีแดงอยู่บนผิวหนัง พบได้ทั้งสิวเม็ดเล็ก ๆ ไม่มีหัวและแบบที่เป็นตุ่มน้ำใส ๆ อยู่ด้านใน
5. ควรบีบสิวผดไหม?
ไม่ควรบีบสิวผดด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้สิวเห่อหรือเกิดการอักเสบมากขึ้น จนเกิดรอยดำ และรอยแผลเป็นตามมานี้ นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้ด้วย
6. สิวผดมีกี่ประเภท?
สิวผดสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
- สิวผดที่เกิดจากผิวอ่อนแอ ผิวแพ้ง่าย เป็นสิวผดที่เกิดจากผิวที่ไม่แข็งแรง แพ้ง่าย มักพบเมื่อโดนกระตุ้นจากแสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ
- สิวผดที่เกิดจากพฤติกรรม เช่น การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมทำให้เกิดการระคายเคือง การทำความสะอาดผิวหน้าที่ผิดวิธี การทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น เป็นต้น
ทีมแพทย์ M VITA CLINIC พร้อมแนะนำวิธีรักษาสิวผด คืนผิวหน้าเรียบเนียน
สิวผด เป็นปัญหาผิวที่ถูกกระตุ้นจากมลภาวะ แสงแดด และความร้อน ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งสิวผดนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ดังนั้น ทางที่ดีจึงควรเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ เพื่อให้คนไข้ไม่ต้องกังวลกับปัญหาสิวผดที่อยู่บนใบหน้าจนขาดความมั่นใจ แน่นอนว่าที่ M VITA CLINIC ก็มีแพทย์รักษาสิวผู้เชี่ยวชาญที่จะทำการวินิจฉัยอาการและแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสมให้กับคนไข้เป็นรายบุคคล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลหรือจองคิวเข้ารับบริการได้ที่
ติดต่อ จองคิว ปรึกษาแพทย์
ข้อมูลของ เอ็มวีต้า คลินิก (Mvita Clinic)
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- เอ็มวีต้า คลินิก (คลิก) ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่