
หลุมสิว เป็นปัญหาผิวตามมาหลังการเกิดสิว ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน หน้าเป็นหลุม เป็นรอยสิว จนสร้างความรำคาญใจและทำให้คนไข้ที่มีปัญหานี้รู้สึกไม่มั่นใจได้ เพราะแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานจนอายุเพิ่มมากขึ้น แต่หากปัญหาหลุมสิวที่เป็นอยู่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง หลุมสิวเหล่านั้นก็จะไม่สามารถหายได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ในปัจจุบันยังไม่มีครีมบำรุงผิวทั่วไปที่สามารถรักษาหลุมสิวให้หายสนิทได้ ดังนั้น เราไปดูกันดีกว่าว่า หลุมสิวเกิดจากอะไร แล้วมีวิธีรักษาหน้าเป็นหลุมยังไงได้บ้าง
หลุมสิวคืออะไร?
หลุมสิว (Atrophic Scars) คือ แผลเป็นที่เกิดจากการอักเสบของสิวหลังจากที่รักษาสิวจนหาย ไม่ว่าจะเป็นสิวที่แก้ม สิวที่หน้าผาก สิวขึ้นกรอบหน้า สิวที่คาง หรือแม้แต่สิวที่หลัง โดยจะมีลักษณะเป็นหลุมยุบตัวกว่าระดับของผิวหนังปกติ ทำให้ผิวหนังเป็นหลุมลึก ดูไม่เรียบเนียน มักจะเกิดจากสิวอักเสบที่ลงลึกถึงผิวหนังชั้นใน เช่น สิวหัวหนอง สิวหัวช้างขนาดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งหลุมสิวเหล่านี้ไม่สามารถหายเอง และไม่สามารถรักษาด้วยการทายาหรือสกินแคร์ได้
หน้าเป็นหลุมสิวมีลักษณะอย่างไร?
ลักษณะของหลุมสิว จะเป็นรอยบุ๋มที่กดลึกลงบนผิวหน้า ซึ่งสามารถพบได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหลุมทรงกลมที่มีความลึก รอยบุบเล็ก ๆ ตื้น ๆ หรือร่องรอยแนวยาวบนผิว ซึ่งหลุมสิวเหล่านี้จะส่งผลให้ผิวหน้าดูขรุขระ ขาดความเรียบเนียน โดยเฉพาะเมื่อมีแสงตกกระทบ จะยิ่งเน้นให้เห็นเงาของหลุมสิวชัดเจนมากขึ้น และสามารถสังเกตได้ชัดที่สุดเมื่อมองจากมุมด้านข้าง
หลุมสิวเกิดจากอะไร?
หลุมสิว เกิดจากสิวที่เกิดการอักเสบ หรือสิวอุดตันขนาดใหญ่ที่ลึกลงไปถึงผิวหนังชั้นลึก จนเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นสิวเกิดความเสียหาย ซึ่งโดยปกติแล้ว ผิวหนังจะทำการฟื้นฟูตัวเองด้วยการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้ในการเติมเต็มผิวส่วนเดิมที่ถูกทำลายไป
แต่ในกรณีที่ผิวหนังถูกทำลายเป็นวงกว้างและลงลึก ร่างกายก็จะไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อในส่วนที่หายไปได้ทั้งหมดจนเกิดเป็นหลุมสิวขึ้นมา นอกจากนี้หลุมสิวยังสามารถเกิดจากการมีพังผืดระหว่างผิวหนังชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ที่ดึงผิวหนังให้ยุบลงจนเห็นเป็นหลุมสิวจากกระบวนการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์ได้เช่นกัน
สิวแบบไหนที่สามารถกลายเป็นหลุมสิวได้บ้าง?
ลักษณะของสิวที่สามารถกลายเป็นหลุมสิวได้ มีดังนี้
- สิวอักเสบ (Pustule) เป็นสิวที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการอักเสบในรูขุมขน มีลักษณะเป็นุต่มนูนแดง มักจะทำลายคอลลาเจนในชั้นผิวและเซลล์ผิวที่อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้หากไม่รักษาอย่างถูกต้อง เมื่อสิวอักเสบหายก็จะทิ้งรอยสิว หรือทำให้หน้าเป็นหลุมสิวได้
- สิวหัวช้าง (Cyst) เป็นสิวอุดตันขนาดใหญ่ที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนลึก มีลักษณะเป็นก้อนนูนใต้ผิว มีอาการอักเสบรุนแรง รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส แต่ไม่มีหัวสิวให้บีบออก รักษายาก และอาจเกิดรอยแผลเป็น หรือทำให้หน้าเป็นหลุมสิวที่เห็นได้ชัดเจน
หลุมสิวมีกี่ประเภท?

หลุมสิวสามารถแบ่งตามลักษณะการยุบตัวของผิวหนังได้ทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้
Ice-Pick Scars
หลุมสิวแบบ Ice-Pick Scars จะมีลักษณะรอยแผลลึก ปากแผลแคบ ขอบแผลไม่เรียบ และก้นของแผลมีลักษณะคล้ายกรวย มักมีขนาดไม่เกิน 2 มิลลิเมตร โดยจะมีความลึกถึงชั้นหนังกำพร้าหรือเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวหนัง นับว่าเป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงและรักษาได้ยากที่สุด มักเกิดจากการกดหรือบีบสิวอุดตันและสิวอักเสบ
Box Scars
หลุมสิวแบบ Box Scars เป็นหลุมสิวที่มีลักษณะเป็นบ่อรูปวงกลมหรือวงรี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 1.5 ไปจนถึง 4 มิลลิเมตร เห็นขอบหลุมชัดเจน เป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงปานกลางแต่จะมีขนาดใหญ่กว่าหลุมสิวประเภท Ice-Pick Scars มีทั้งแผลลึกและแผลตื้น สามารถพบได้ในคนไข้ที่เป็นสิวอักเสบ รวมถึงคนไข้ที่เป็นโรคอีสุกอีใส
Rolling Scars
หลุมสิวแบบ Rolling Scars เป็นหลุมสิวระดับทั่วไปและรักษาได้ง่ายที่สุด มีลักษณะเป็นหลุมตื้น ๆ ปากหลุมค่อนข้างกว้าง แต่ฐานหลุมจะแคบกว่าปากหลุม และอยู่เพียงแค่ผิวช่วงบนเท่านั้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5 มิลลิเมตร
วิธีรักษาหลุมสิว

หลายคนอาจจะสงสัยว่า หลุมสิวรักษายังไง? เพราะไม่มีครีมที่สามารถรักษาหลุมสิวได้ แต่ในปัจจุบันมีวิธีทางการแพทย์หลากหลายวิธีที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวเพื่อกลับมาทำงานเต็มที่ และเติมเต็มหลุมสิวที่ยุบลงไปให้กลับมาตื้นขึ้นได้ โดยวิธีที่นิยมใช้ในการรักษาหลุมสิว มีดังนี้
1. การเลเซอร์รักษาหลุมสิว (Laser)
การเลเซอร์หลุมสิว เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมผิวที่เสียหาย ซึ่งอาจทำให้หลุมสิวดูลดความลึกลง โดยการทำเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมผิวที่เสียหาย ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น แต่จะต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 4-6 ครั้งจึงจะเห็นผล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และต้องทำการรักษาต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของหลุมสิวของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน
ซึ่งที่ M VITA CLINIC คุณหมอจะใช้เครื่องมือ Fractora สลับกับ Fotona SP Spectro ที่สามารถกรอผิวชั้นตื้นได้ โดยหัวเลเซอร์จะเป็นการใช้งานเฉพาะบุคคลแบบเคสต่อเคส และไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น โดยจะมีการปรับระดับพลังงาน RF ตามความเหมาะสมกับผิวหน้า รวมถึงปัญหาของแต่ละเคส ซึ่งการรักษาด้วยเลเซอร์จะใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่อาจให้ความรู้สึกร้อนหรือระคายเคืองบ้าง หลังทำผิวจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นได้
2. การกรอผิว (Dermabrasion)
การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี จะเป็นการกรอผิวหนังบริเวณที่เกิดหลุมสิวเพื่อเเป็นการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเพื่อช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น เหมาะกับการใช้รักษาหลุมสิวที่มีความกว้างแต่ค่อนข้างตื้น ซึ่งนอกจากอาจช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น และช่วยปรับผิวให้ดูกระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย ทั้งนี้ การรักษาด้วยการกรอผิวจะต้องดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงเท่านั้น เนื่องจากการกรอผิวจะทำให้ผิวบางลงและเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
3. การเซาะพังผืด (Subcision)
การรักษาหลุมสิวด้วยการเซาะพังผืด เหมาะกับคนไข้ที่มีปัญหาหลุมสิว Rolling Scar และ Box Scar โดยการเซาะพังผืดจะใช้เข็มที่มีขนาดเล็ก สอดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นหลุมสิว และทำการตัดพังผืดที่เกิดจากการรักษาสิวไม่สมบูรณ์ออกไป และช่วยกระตุ้นสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเติมเต็มรอยหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้นและลดน้อยลง
4. การผ่าตัด (Punch Excision)
การผ่าตัด เป็นหนึ่งในวิธีรักษาหลุมสิวที่เหมาะกับหลุมสิวชนิด Ice-Pick Scars และ Box Scar แต่ขนาดขอบไม่ควรกว้างเกิน 3 มิลลิเมตร เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นตามมา โดยจะเป็นการใช้เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ตัดบริเวณที่เป็นหลุมสิว แล้วทำการดึงขอบทั้ง 2 ข้างที่เป็นผิวปกติมาเย็บติดกัน ซึ่งวิธีนี้จะไม่เหมาะกับคนไข้ที่ต้องการใช้หน้า หรือไม่มีเวลาพักฟื้น เพราะหลังทำจะต้องมีการมาตัดแผล หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ห้ามโดนน้ำอย่างน้อย 3 วัน และไม่ควรแต่งหน้าในระหว่างที่รอให้ผิวฟื้นฟู
5. การฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถทำร่วมกับวิธีรักษาอื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา โดยจะเป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเข้าไปบริเวณหลุมสิว ซึ่งจะช่วยเติมเต็มให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น อีกทั้งยังทำให้ผิวดูฉ่ำน้ำและไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น เหมาะสำหรับคนไข้ที่ต้องการใช้หน้าหรืออยากเห็นผลลัพธ์
รักษาหลุมสิว ที่ M Vita Clinic
โปรแกรมรักษาหลุมสิว เลเซอร์หลมุสิว และ Fractional คลื่นวิทยุรักษาหลุมสิว ร่วมกับ การทำ TCA CROSS และร่วมกับการฉีดตัวยา M Vita PDRN Solution สูตรเฉพาะของ M Vita Clinic ผู้ป่วยอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก รายครั้ง 4,500.- / 5 ครั้ง ฟรี 5 ครั้ง พร้อมส่วนลด 4,500 เหลือเพียง 20,000.-

จบปัญหาหลุมสิว ด้วยวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยที่ M VITA CLINIC
เมื่อได้อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าคนไข้หลาย ๆ คนน่าจะมีความเข้าใจหลุมสิวกันมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะมีวิธีรักษาหลุมสิวให้คนไข้เลือกรักษาได้ตามความเหมาะสม แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาและมีค่าใช้จ่ายอยู่พอสมควร ดังนั้น ทางที่ดีการป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวจึงนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คนไข้ควรให้ความใส่ใจ สำหรับคนไข้ที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลหรือจองคิวเข้ารับบริการได้ที่
- LINE: https://page.line.me/mvitaclinic?openQrModal=true
- FaceBook: https://www.facebook.com/mvitacliniccenter
- Tel: 081-492-2626, 02-640-8097
- Google Maps: https://maps.app.goo.gl/ZMEgATLszMJsHpNC8
รีวิว รักษาหลุมสิว เลเซอร์หลุมสิว




ติดต่อ จองคิว ปรึกษาแพทย์
ข้อมูลของ เอ็มวีต้า คลินิก (Mvita Clinic)
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- เอ็มวีต้า คลินิก (คลิก) ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่