รวมวิธีรักษารอยสิว และรอยดำรอยแดงจากสิวให้จางลงใน 1 สัปดาห์

รวมวิธีรักษารอยสิว และรอยดำรอยแดงจากสิวให้จางลงใน 1 สัปดาห์

สำหรับคนไข้ที่เคยมีปัญหาสิว คงจะทราบกันดีว่า หลังจากรักษาสิวจนหายไปแล้วสิ่งที่ตามมาก็คงไม่พ้น “รอยสิว” ซึ่งมีทั้งแบบรอยดำ รอยแดง และหลุมสิว ซึ่งแม้ว่ารอยสิวเหล่านี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ก็คงสร้างความกวนใจและทำให้คนไข้รู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้าง ดังนั้น จะดีกว่าไหมถ้าเรารู้จักกลไกของการเกิดรอยสิว รอยสิวแต่ละประเภท รวมถึงวิธีรักษารอยสิวและรอยดำ รอยแดงจากสิวโดยแพทย์รักษาสิวเฉพาะทางให้หายขาดภายใน 1 สัปดาห์ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักต้นเหตุของการเกิดรอยสิวกันเลยดีกว่า

รอยสิวเกิดจากอะไร?

รอยสิวเกิดจากอะไร

รอยดำและรอยแดงจากสิวส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นจากการรักษาสิวอักเสบหรือสิวอุดตันผิดวิธี เช่น การกดสิวด้วยตัวเอง การบีบเค้นสิวจนผิวบริเวณนั้นบอบช้ำ เป็นต้น ทำให้ผิวเกิดการอักเสบและไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวให้เพิ่มมากขึ้น จนเกิดเป็นรอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิวตามมาในที่สุด

รอยสิวมีกี่ประเภท

รอยสิว มีกี่ประเภท

นอกจากการทำความรู้จักสาเหตุของการเกิดรอยสิวแล้ว หมอจะขอพาคนไข้มาทำความรู้จักกับประเภทของรอยสิว ซึ่งจะช่วยให้คนไข้สามารถรักษารอยสิวที่เป็นอยู่ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมที่สุด โดยรอยสิวสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้

รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema)

เป็นรอยสิวที่มีลักษณะเป็นสีแดง ชมพู หรืออาจมีสีม่วงจากสิว ซึ่งรอยแดงเหล่านี้เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง จากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนเกิดการอุดตันในรูขุมขน และเกิดเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ผิวหนังอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบขึ้นมา รวมถึงการบีบ แคะ แกะสิวจนเกิดอาการบวมช้ำ

รอยดำจากสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)

เป็นรอยสิวที่มีลักษณะเป็นจุดสีดำ น้ำตาลเข้ม หรือสีเทา เกิดจากการอักเสบและระคายเคืองของชั้นผิว จนไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวให้มากขึ้น มักเกิดหลังจากสิวอักเสบหายดีแล้ว และมักจะเกิดในคนผิวคล้ำมากกว่าผิวขาว นอกจากนี้แสงแดดยังมีส่วนทำให้รอยดำจากสิวมีสีเข้มขึ้นได้อีกด้วย

รีวิว รักษาสิว และเลเซอร์รอย

รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)

รอยหลุมสิว เป็นรอยแผลที่เกิดจากสิวอักเสบที่มีการอักเสบลึกจนถึงผิวชั้นใน เมื่อการอักเสบหายดีแล้ว ร่างกายก็จะทำการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อมาใหม่เพื่อสมานแผล แต่คอลลาเจนและเนื้อที่สร้างไม่เพียงพอเนื่องจากได้รับการบาดเจ็บในชั้นผิวหนังอยู่ จึงไม่สามารถทำให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนผิวในตอนแรกและเกิดเป็นหลุมสิวในที่สุด ซึ่งวิธีการรักษาจะแตกต่างกันกับการรักษารอยแดงและรอยดำจากสิวครับ โดยรอยหลุมสิวสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้

  • Rolling Scars เป็นรอยหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง 
  • Ice-Pick Scars เป็นรอยหลุมสิวที่มีรอยแผลลึก ปากแผลแคบ มีความรุนแรงและรักษาค่อนข้างยาก
  • Box Scars เป็นรอยหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง มีทั้งรอยหลุมสิวตื้นและลึก

รวม 15 วิธีรักษารอยสิวให้จางลงภายใน 1 สัปดาห์

รวม 10 วิธีรักษารอยสิว

หลายคนอาจจะสงสัยว่า รอยแดงและรอยดำจากสิวกี่วันหาย? แล้วรอยสิวรักษายังไงถึงจะจางลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในบทความนี้ หมอได้รวบรวมวิธีรักษารอยสิวที่ช่วยให้รอยสิวจางลงได้ใน 1 สัปดาห์ แล้วจะมีวิธีรักษายังบ้าง เราไปดูกัน

1. หลีกเลี่ยงการกด บีบ และแกะสิวด้วยตัวเอง

การสัมผัส บีบ หรือสิวด้วยตัวเอง จะกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองบริเวณเนื้อเยื่อผิวหนัง ทำให้รูขุมขนเกิดการอักเสบ และทำให้การรักษารอยแดงจากสิวต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่าเดิม นอกจากนี้สิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนนิ้วมือยังเพิ่มโอกาสให้ผิวหนังเกิดการอักเสบมากกว่าเดิมได้อีกด้วย

2. ทาครีมลดรอยสิว

หากสงสัยว่ารอยดำจากสิวรักษายัง การทาครีมลดเลือนจุดด่างดำและรอยสิวที่มีส่วนผสมช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างวิตามินซี (Vitamin C), อาร์บูติน (Arbutin), ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) จะช่วยเติมความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนรอยดำ บำรุงผิวให้เรียบเนียน และควบคุมความมันบนใบหน้า ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว

3. การรับประทานอาหารเสริม

การรับประทานอาหารเสริม เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถรักษารอยสิวได้ โดยหมอแนะนำให้ทานอาหารเสริมที่เป็น Vitamin C, Vitamin A, Vitamic B3 หรือ Zinc ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการผลิตเม็ดสี และช่วยรักษารอยสิว รวมถึงป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ลดการอุดตันของไขมันซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิว

4. สครับผิวหน้าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

การสครับผิวหน้า จะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป และเติมความชุ่มชื้นให้ผิว โดยแนะนำให้ทำเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการอักเสบ นอกจากนี้การสครับผิวหน้ายังไม่เหมาะกับคนที่เป็นสิวอักเสบ เพราะอาจจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบรุนแรงมากขึ้นได้

5. เลเซอร์ลดรอยสิวและหลุมสิว

การรักษาด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการรักษาหลุมสิว หรือรอยดำจากสิวที่มีขนาดใหญ่และฝังลึก โดยการเลเซอร์จะเป็นลักษณะของคลื่นพลังงานที่เข้าไปทำลายเซลล์ผิวบริเวณหลุมสิว ซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาทดแทน ทำให้รอยหลุมสิวดูตื้นขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการเกิดสิวซ้ำซาก และเพิ่มความกระจ่างใสให้ใบหน้า

6. เติมความชุ่มชื้นให้ผิว

นอกจากการปล่อยให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น จะทำให้ผิวเกิดริ้วรอยได้แล้ว คนไข้ที่มีผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำจะยิ่งทำให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น จนทำให้เกิดสิวอุดตันได้ ดังนั้น จึงควรบำรุงผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง

7. ให้ความสำคัญกับการทาครีมกันแดด

แสงแดดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดรอยแดง รอยดำเข้มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้สีผิวบริเวณนั้นไม่สม่ำเสมอด้วย ดังนั้น นอกจากการหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 11.00 – 15.00 น. แล้ว ยังควรให้ความสำคัญกับการทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและยังช่วยลดรอยดำ รอยแดง รวมถึงจุดด่างดำจากสิว อีกทั้งยังลดระยะเวลาในการรักษารอยสิวได้อีกด้วย

8.หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า หรือสกินแคร์บางชนิด อาจมีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป ยิ่งในคนไข้ที่มีสิวอักเสบส่วนผสมเหล่านั้นก็จะยิ่งไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย แน่นอนว่าเมื่อสิวเกิดการอักเสบมากขึ้นก็จะมีโอกาสเป็นรอยสิวหรือหลุมสิวได้ ดังนั้น จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน ช่วยปลอบประโลมผิว และรักษารอยสิวหรือลดรอยสิวโดยเฉพาะ

9. ปลอบประโลมผิวด้วยเจลว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ หรืออโลเวร่าเจล สมุนไพรที่มีความชุ่มชื้น ซึ่งจะช่วยบรรเทาการอักเสบ สมานแผล และลดรอยแผลเป็น รวมถึงรอยดำรอยแสงจากสิวได้ แนะนำให้นำอโลเวร่าเจลมาทาทิ้งไว้บริเวณรอยสิว หรือมาส์กทิ้งไว้ค้างคืนโดยไม่ต้องล้างออก เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย สามารถใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย โดยในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งอโลเวร่าเจลสำเร็จรูปที่สามารถใช้งานได้สะดวกสบาย หรือจะใช้ว่านหางจระเข้สดก็ได้เช่นกัน

10. ปรึกษาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาสิว

หากคนไข้มีรอยดำรอยแดงจากสิว หรือหลุมสิวอย่างรุนแรง อย่าลังเลที่จะเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาสิว เพราะนอกจากการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเห็นผลลัพธ์การรักษาได้อย่างรวดเร็วแล้ว แพทย์ยังสามารถวินิจฉัยและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับรอยสิวที่เป็นอยู่ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด

รีวิว เลเซอร์รอยสิว

รีวิว เลเซอร์รอยสิว

ซึ่งที่ M VITA CLINIC เรามีโปรแกรมรักษาสิวให้คนไข้เลือกรับการรักษาหลากหลายโปรแกรม โดยในแต่ละโปรแกรมจะดำเนินการรักษาล้ำลึกตั้งแต่ต้นตอ หลังทำสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน 80-90% รอยสิวทั้งรอยดำและรอยแดงดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมั่นใจในความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน เพราะทุกขั้นตอนดำเนินการโดยแพทย์รักษาสิวที่มีประสบการณ์มายาวนาน นอกจากนี้ยังเลือกใช้เครื่องมือและยาที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับโลก ด้วยโปรแกรม Gold K Scan เลเซอร์รอยสิวด้วย Pro Yellow Laser

11. ฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มรอยหลุมสิว 

การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีรักษารอยหลุมสิวที่ให้ผลเร็ว โดยใช้สารเติมเต็มฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณรอยหลุม ช่วยยกระดับผิวให้เรียบเสมอกัน ฟิลเลอร์ที่ใช้มักเป็นกรดไฮยาลูโรนิกซึ่งสลายตัวได้ตามธรรมชาติ ผลการรักษาอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และสภาพผิว

12. ฉีดไหมน้ำกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว 

การฉีดไหมน้ำเป็นการฉีดสารพอลิแอล-แลคติก (Poly-L-lactic acid) เข้าใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ลดรอยหลุมสิว และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ผลการรักษาจะค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ และอยู่ได้นานถึง 2 ปี

13. ฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) 

คือการนำเลือดของผู้รับการรักษามาปั่นแยกเอาเกล็ดเลือดที่อุดมด้วยโกรทแฟคเตอร์ แล้วฉีดกลับเข้าสู่ผิวหนังบริเวณที่มีรอยสิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ฟื้นฟูเซลล์ผิว และเร่งกระบวนการซ่อมแซมผิว ทำให้รอยสิวจางลงและผิวเรียบเนียนขึ้น

14. ทำเลเซอร์ Dual Yellow 

เลเซอร์ Dual Yellow เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แสงเลเซอร์สองความยาวคลื่น คือสีเหลืองและสีเขียว ช่วยลดรอยแดง รอยดำจากสิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก ทำให้ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสิวแดง รอยดำ และผิวไม่สม่ำเสมอ

15. ตัดพังผืด 

การตัดพังผืดเป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นนูนจากสิวที่เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไป แพทย์จะใช้เข็มพิเศษสอดเข้าใต้ผิวหนังเพื่อตัดเนื้อเยื่อพังผืดที่ยึดผิวหนังกับเนื้อเยื่อด้านล่าง ช่วยให้ผิวหนังยกตัวขึ้นและเรียบเนียนขึ้น มักทำร่วมกับการฉีดสเตียรอยด์เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดซ้ำ

 FAQs รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษารอยสิว

1. รอยสิวหายยากเพราะอะไร?

เพราะเมื่อเป็นสิว ผิวหนังชั้นลึกและเนื้อเยื่อในบริเวณที่เคยเป็นสิวจะเกิดความเสียหาย ทำให้การสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ต้องใช้เวลา 

2. รอยสิวสามารถหายเองได้ไหม?

เนื่องจากผิวมีกลไกซ่อมแซมตัวเอง ทำให้รอยสิวสามารถจางลงเองได้ตามธรรมชาติ แต่ใช้เวลานานและอาจหายไม่สนิท

3. ทำไมบีบสิว ถึงเป็นรอย?

การบีบสิวทำให้เกิดการอักเสบและบาดแผลลึกในผิวหนัง เมื่อผิวพยายามซ่อมแซมตัวเอง อาจเกิดการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปทำให้เกิดรอยแผลเป็นนูน หรือสร้างเม็ดสีมากเกินไปทำให้เกิดรอยดำ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทำให้สิวเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสการเกิดรอยหลุมสิวมากขึ้นได้อีกด้วย

4. รักษารอยสิวใช้เวลากี่เดือน?

ระยะเวลาในการรักษารอยสิวขึ้นอยู่กับความรุนแรงของรอย โดยทั่วไปอาจใช้เวลา 3-6 เดือนสำหรับรอยสิวที่ไม่รุนแรง และอาจนานถึง 12 เดือนสำหรับรอยที่ลึกหรือเป็นแผลเป็น 

5. สารอะไรช่วยลดรอยสิว?

สารที่มีประสิทธิภาพในการลดรอยสิว ได้แก่ 

  • วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยต้านอนุมูลอิสระและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 
  • ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดการอักเสบและปรับสีผิว 
  • เรทินอล (Retinol) กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ 
  • กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิว 
  • กรดซาลิไซลิก (BHA) ช่วยลดการอุดตันรูขุมขน

6. ควรทาครีมลดรอยสิวตอนไหน?

ควรทาครีมลดรอยสิวหลังล้างหน้าและก่อนทาครีมบำรุงผิว แต่ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการทาครีมลดรอยคือ ทาก่อนนอน เนื่องจากผิวมีกระบวนการซ่อมแซมตัวเองดีที่สุดในเวลากลางคืน 

7. ทำยังไงไม่ให้มีรอยสิว?

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว ได้แก่ 

  • หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว 
  • ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ 
  • รักษาความสะอาดของผิวหน้า 
  • ดูแลและรักษาสิวทันทีตั้งแต่เริ่มเป็นสิว
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน 
  • ดูแลสุขภาพผิวด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ 
  • ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ

8. ลดสิว และรอยสิว พร้อมกันได้ไหม?

สามารถรักษาพร้อมกันได้ แต่ทางที่ดีควรจะรักษาสิวให้หายหรือดีขึ้นก่อน เพราะหากยังมีสิวขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ก็จะยังมีรอยสิวตามมาเรื่อย ๆ เช่นกัน

9. ทำไมรอยสิวชัดขึ้น?

รอยสิวที่มีสีเข้มหรือเห็นชัดเจนขึ้น สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น

  • การสัมผัสแสงแดดมากเกินไปทำให้ผิวสร้างเม็ดสีเพิ่ม 
  • การระคายเคืองผิวจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไป หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว 
  • ผิวขาดความชุ่มชื้น 

10. กินอะไรช่วยลดรอยสิว?

อาหารที่ช่วยลดรอยสิว ได้แก่ 

  • อาหารที่มีวิตามินซีสูงช่วยสร้างคอลลาเจน เช่น ส้ม กีวี พริกหวาน 
  • อาหารที่มีวิตามินอีช่วยต้านอนุมูลอิสระ เช่น อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน 
  • อาหารที่มีสังกะสีช่วยลดการอักเสบ เช่น เมล็ดฟักทอง หอยนางรม 
  • อาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาแซลมอน

11. สิวแบบไหนทิ้งรอยมากที่สุด?

สิวที่มักจะทิ้งรอยดำ รอยแดงไว้บนผิวมากที่สุด ได้แก่ สิวอักเสบ สิวหัวหนอง และสิวหัวช้าง เนื่องจากเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวมีการอักเสบอย่างรุนแรง

12. ยาทาแผลเป็นทารอยสิวได้ไหม?

ยาทาแผลเป็นสามารถใช้กับรอยสิวได้ในบางกรณี โดยเฉพาะรอยแดง และรอยหลุมสิว เพราะยาทาแผลเป็นบางชนิดจะมีส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

13. ฉีดอะไรช่วยลดรอยสิว?

หัตถการที่ช่วยลดรอยสิวมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การฉีดเมโสหน้าใส การฉีดมาเด้คอลลาเจน การฉีดวิตามินผิว การฉีดรีจูรัน การฉีดฟิลเลอร์ 

14. ทำยังไงให้รอยกดสิวหายเร็ว?

  • รักษาความสะอาดของผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน
  • ทามอยซ์เจอไรเซอร์หรือมาส์กหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
  • ทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือถูกทำร้ายจากแสงแดด
  • ทาครีมลดรอยแดง หรือยาทาอื่น ๆ ที่แพทย์ให้อย่างสม่ำเสมอ

15. วิตามินอะไรช่วยลดรอยสิว?

วิตามินที่มีประสิทธิภาพในการลดรอยสิว ได้แก่ วิตามินเอ (Vitamin A) วิตามินดี (Vitamin D) วิตามินอี (Vitamin E) วิตามินซี (Vitamin C) คอลลาเจน (Collagen) และซิงค์ (Zinc)

สรุปบทความ

โปรแกรมเลเซอร์รอยสิว

รอยสิว เป็นปัญหาผิวที่มักพบหลังจากการรักษาสิว ซึ่งหากรอยสิวมีความรุนแรงและสามารถเห็นได้ชัดก็อาจจะส่งผลต่อความมั่นใจของคนไข้ได้ ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการรักษารอยสิวด้วยวิธีที่เหมาะสม สำหรับคนไข้ที่ไม่ได้เป็นรอยสิวรุนแรงมากนักก็อาจจะเลือกรักษาด้วยการทายาลดรอยสิว หรือวิธีอื่น ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่สำหรับคนไข้ที่มีปัญหาสิวรุนแรงก็อย่ามองข้ามการเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาปัญหาสิวโดยเฉพาะ 

ซึ่งที่ M VITA CLINIC ก็พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีรักษาที่เหมาะสมแก่คนไข้เป็นรายบุคคล เพื่อให้คนไข้ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและสามารถแก้ไขปัญหารอยสิวได้อย่างเหมาะสม สำหรับคนไข้ที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลหรือจองคิวเข้ารับบริการได้ที่

ติดต่อ จองคิว ปรึกษาแพทย์

ข้อมูลของ เอ็มวีต้า คลินิก (Mvita Clinic)

  • เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
  • อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
  • เอ็มวีต้า คลินิก (คลิก) ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
  • สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
  • เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
  • ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ

วันเผยแพร่

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า